เจอพลังดูด ! ‘นคร’ แฉโดนเสนอซื้อตัว 50 ล้าน ลั่น “ไม่ทรยศประชาชน”

เจอพลังดูด / เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรางานว่า ที่อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชน เกี่ยวกับเส้นทางการเมืองของตนเอง หลังได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก จนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง สร้างความสะเทือนให้กับอดีตนักการเมืองหลายพรรค ต่างออกมาตอบโต้กันพัลวัน

นายนคร กล่าวว่า หลังรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารบ้านเมืองเข้าปีที่ 5 ใช้งบประมาณไป 20 ล้านล้านบาท บ้านเมืองมีแต่วิกฤต ชาวไร่ ชาวนา เกษตรชาวสวนเดือดร้อน ผู้ใช้แรงงานเดือดร้อนมาก มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่ประกาศตัวสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เสนอให้ตนสูงมาก ซึ่งตนก็ไม่เคยคิดว่าเงิน 50 ล้านบาทมันขนาดไหน

แต่ผมประกาศว่าไม่สามารถทรยศอุดมการณ์ของตนเองได้ให้ไปอยู่กับเขาเป็นมิตรกันเป็นเพื่อน ถ้าเพื่อไทยมีอุดมการณ์ตรงกันเรามาร่วมกัน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเพื่อไทยเปลี่ยนจากประชาธิปไตยไปจับมือกับทหาร เราก็ฝ่ายตรงข้ามกัน

นายนครกล่าวถึงกรณีที่ถูกวิจารณ์เรื่องย้ายพรรคบ่อย ว่า ทำไมจึงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้ง ตนกลืนเลือดจริงๆ ถ้าไม่บอยคอตการเลือกตั้งผมไม่ลาออก นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย ย้อนถามไปว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงบอยคอตการเลือกตั้ง ไม่ใช่สิ่งที่จะให้คำตอบกับสังคม ตนไม่เห็นด้วยกับการบอยคอต

“มีคนพูดว่าว่าทรยศ เนรคุณ ไม่รู้บุญคุณ ผมขออนุญาตยกมือท่วมหัว พรรคการเมืองใด รัฐมนตรีท่านใด นักการเมืองท่านใด ผมไม่เคยเหยียบย้ำ ไม่เนรคุณ ไม่เคยว่ากล่าวใส่ร้าย ซึ่งเป็นบุญคุณท่วมหัวแต่ละท่าน หากพรรคการเมืองใด ทรยศต่อประชาชน ทรยศต่อประเทศชาติในระบอบประชาธิปไตยจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผม ต้องแยกระหว่างบุญคุณส่วนตัว กับ บุญคุณองค์กร ซึ่งองค์กรนั้นเหนือกว่า ประชาชนทั้งประเทศกับประชาธิปไตยทั้งระบบ จะต้องเดินไปด้วยกัน แต่โครงสร้างของประเทศไทยกำลังเข้าสู่โครงสร้างเผด็จการ”

นายนคร กล่าวว่า มีประมาณ 5 พรรค ที่ตนคุยด้วย ไม่รู้จะรับหรือเปล่า เพราะถูกฟ้องขณะนี้ ถ้าอุดมการณ์ตรงกัน มาร่วมกัน ถ้าวันหนึ่งนายทักษิณ ไปจับมือกับพล.อ.ประยุทธ์ เราก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกัน ซึ่งได้พูดคุยกับผู้ใหญ่พรรคเพื่อเอาไว้บ้าง ทางผู้ใหญ่พรรคเพื่อไทยบอกว่ายังไม่รู้พรรคจะถูกยุบก่อนการเลือกตั้งหรือเปล่า

ประกอบคำสั่งพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง ไม่ใช่คุณชกอย่างฝ่ายเดียวหาเสียงฝ่ายเดียวและไม่เคยปฏิเสธว่าจะไม่เป็นนายก เอาเปรียบคนอื่น ไม่แฟร์มันไม่แมน ถ้าไม่มีคนรับ ตนจะชวนเพื่อนตั้งพรรคกันเองพรรคเล็กๆ ถ้าให้โอกาสจะไปสู้ร่วม แต่มีเงื่อนไขว่าจะไม่เปลี่ยนฝั่งประชาธิปไตยไปซูเอี๋ยกับเผด็จการ ตนประกาศจุดยืนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกอยู่แล้ว ต่อให้ลงเลือกตั้งไปดูนโยบาย ไม่ล้างมรดกบาป ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ไม่มีความชอบธรรม

พอทหารยึดอำนาจ 22 พ.ค.57 คิดว่าจะปฏิรูปที่ดี แต่ที่ไหนได้ ยิ่งบริหารยิ่งสร้างความเกลียดชัง สร้างแต่ความแตกแยก สร้างแต่ความร้าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อสังคมไทย แบ่งฝักแบ่งฝ่าย คนที่ฝ่ายเขา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง ทหาร ราชการ ได้รับการยกยอปอปั้นมีตำแหน่งหน้าที่สูง ส่วนคนเก่งคนดีที่ทำงานด้วยใจเป็นธรรมอยู่ในฝ่ายทหาร อยู่ในฝ่ายราชการ ฝ่ายธุรกิจ การเมือง ที่ไม่ตอบสนองไม่ยอมก้มหัวรับใช้ในฐานะที่เป็นระบบเผด็จการ

ต่อให้เก่งดีขนาดไหน ไม่ได้รับการส่งเสริม ถูกปลดถูกย้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม จะให้มาตรา 44 ฟาดฟันใครก็ไม่มีความผิด กลั่นแกล้งใครก็ไม่มีความผิด ทำให้เกิดความแตกแยกในการบริหารราชการแผ่นดิน กระทบทั้งในและต่างประเทศ นอกจากความแตกแยกแล้ว สิ่งที่หน้าอดสูใจถือว่าเป็นมรดกบาปของระบอบเผด็จการ ฝ่ายที่เห็นด้วยเข้าพูดจาปราศรัยโน้มน้าวให้ประชาชนลงประชามติได้

แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญปี 60 แค่พูดก็ไปปรับทัศนคติ แค่ไปแสดงความคิดเห็นก็ถูกจับถูกฟ้องร้องดำเนินคดี พูดได้อยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายเห็นต่างห้ามพูด ห้ามขยับ ถ้าพูดจะถูกปรับทัศนคติ ถูกดำเนินคดี ถูกใช้อำนาจรัฐในโครงข่ายเผด็จการกีดกันขัดขวางปิดสื่อไม่ให้พูด จึงได้รัฐธรรมนูญ กฎหมายมาที่เป็นโครงสร้างโดยระบอบเผด็จการ เพื่อระบอบเผด็จการไปอีกยาวนาน สืบทอดอำนาจ 5-20 ปี ที่จะแช่แข็งประเทศ จึงสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

“ทุกอย่างบรรจุในพิมพ์เขียว ทุกอย่างถูกบรรจุในวอลรูม ทุกอย่างถูกเซ็ตระบบด้วยโครงข่ายของเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ” นายนครกล่าวทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน