โฆษกรัฐบาล แจง จำเป็นต้องแจกเงิน เพราะไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องดูแลผู้มีพระคุณ ไม่เกี่ยวเรื่องการเมืองเลยจริงๆ

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 21 พ.ย. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน อนุมัติงบประมาณ 86,994 ล้านบาท

เพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า ถ้ามองในฐานะที่เป็นประชาชน หลายๆเรื่องเป็นเรื่องที่จำเป็น ยกตัวอย่างผู้สูงอายุที่ต้องมีงบลงไปดูแล เพราะสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การที่เราดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่วันนี้ถือเป็นสิ่งที่ดี และชัดเจนงบที่สนับสนุนลงไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1 พันบาท ค่าเช่าที่อยู่อาศัย

เราเป็นคนรุ่นใหม่ แต่เราอย่าทิ้งคนที่มีพระคุณกับเรา ที่ช่วยปกป้องดูแล เลี้ยงดูพวกเรามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คิดว่าสังคมไทยไม่มีใครทิ้งผู้สูงอายุที่มีพระคุณ ถ้าเราไม่ดูแลผู้มีพระคุณหรือผู้สูงอายุก่อนเราคงทำอะไรลำบาก คิดว่าเป็นจุดที่เหมาะสมควรทำ และรัฐบาลต่อไปก็น่านำไปสานต่อให้ได้

“กระบวนการทั้งหมดต้องใช้เวลาดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการตั้งโครงการต่างๆ ต้องดำเนินการมาร่วมปีกว่าจะถึงวันนี้ ผมไม่คิดว่าคิดนโยบายเมื่อวานแล้วออกวันนี้ มันเป็นไปไม่ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วย

และอีกส่วนต้องชื่นชมรัฐบาลคิดมานานจนพร้อมส่งถึงมือประชาชนได้ ต้องใช้เวลา และพอดีมาออกช่วงเวลานี้ ถือว่าเหมาะสมในช่วงเวลาที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน และต้องยอมรับอีกเรื่องใกล้สิ้นปีขึ้นปีใหม่ ต้องมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นทุกครอบครัว รัฐบาลจึงพยายามช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ให้ประชาชน” นายพุฒิพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่า คิดว่าเลี่ยงไม่ได้หรือไม่ที่พรรคพลังประชารัฐจะถูกมองได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ทางการเมือง เนื่องจากมีรัฐมนตรีร่วมพรรค นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การทำโครงการต่างๆอย่าไปมองว่าพรรคไหนได้ประโยชน์ แต่มองว่าประชาชนทุกคนได้ประโยชน์คือคนที่ใช้สิทธิได้ประโยชน์ เพราะไม่ได้หมายความว่าการได้ประโยชน์แล้วจะไปเลือกพรรคไหน มันเป็นการช่วยเหลือประชาชนส่วนหนึ่ง

สุดท้ายเขาก็ต้องมาตัดสินใจอีกที ใครคือคนที่ให้ประโยชน์และให้โอกาสกับเขา และคิดว่าในอนาคตจะให้ความมั่นใจบริหารประเทศต่อไปในทุกนโยบาย ไม่ใช่นโยบายเรื่องนี้เรื่องเดียว การนำพาไปสู่พรรคการเมือง และการเลือกตั้ง ไม่ได้หมายความว่าจะดูแลใน 1-2 เรื่อง

เชื่อว่าสุดท้ายประชาชนจะไปดูในภาพรวมการบริหารประเทศนั้น ใครควรได้บริหารประเทศต่อไป เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งเพื่อนโยบายใดนโยบายหนึ่งเท่านั้น มิเช่นนั้นในอนาคตจะมีความชัดเจนมากขึ้น



 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน