สืบทอดอำนาจ แบบไร้รอยต่อ
สืบทอดอำนาจ แบบไร้รอยต่อ – ไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลเลือกตั้งส.ส.แบบเขต 349 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 149 คน เมื่อวันที่ 7 และ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา
พรรคพลังประชารัฐของคสช. ถึงจะครองสถานะพรรคอันดับ 2 แต่ก็อ้างอิงสิทธิ์เหมือนเป็นพรรคอันดับ 1
ประกาศเดินหน้ารวบรวมเสียงส.ส.จาก พรรคการเมืองต่างๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัยทันที
ไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามที่นาย วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุคือ การประกาศผลเลือกตั้งส.ส.ทั้งสองระบบเมื่อวันที่ 7 และ 8 พฤษภาคม จะมีผลถึงวัน รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาที่ต้องทำภายใน 15 วันตั้งแต่วันประกาศผลส.ส. ซึ่งจะ ตรงกับวันที่ 23 พฤษภาคม
สำหรับการทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน ต้องกระทำภายใน 3 วันนับจากวันที่ 8 พฤษภาคม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ดำเนินการแล้วเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม
ส่วนการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายก รัฐมนตรีคนใหม่ ไม่มีกรอบเวลาตายตัว เนื่องจากสิ่งแรกต้องทำหลังจาก รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา คือประชุมแต่ละสภาเพื่อเลือกประธานสภา รองประธานสภาและนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งลงมาเมื่อใด ประธานรัฐสภาถึงจะเรียกประชุมสมาชิกเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป จากนั้นกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเกิดขึ้นหลังนายกรัฐมนตรีคนใหม่พิจารณา พรรคการเมือง ที่จะมาร่วมรัฐบาลและแต่งตั้งรัฐมนตรี ซึ่งน่าจะอยู่ในเดือนมิถุนายน
ห้วง 1 เดือนนับจากนี้ จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะชี้ขาดอนาคตการเมืองไทยว่า จะเดินไปทิศทางใด
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีสองประเด็นการ เมืองหลักๆ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมากมาย คือ ประเด็นของ 250 ส.ว. และสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ฉบับ กกต.ชุดปัจจุบัน ซึ่งได้ส่งผลให้ “เสียงข้างมาก” ในสภากลับตาลปัตร
ส่วนของการคัดเลือก 250 ส.ว. เกิดกระแสต่อต้านรุนแรง ว่านอกจากล็อกเก้าอี้ไว้ให้กับผบ.เหล่าทัพ
ส่วนใหญ่มาจากระบบพวกพ้องหน้าเดิมๆ จากกลุ่มสมาชิกแม่น้ำ 5 สาย ทั้งใน คสช. คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และระบบเครือญาติ ดังที่ เห็นจากกรณีของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตสนช. น้องชายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทั้งนี้ ตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 2560 ส.ว. 250 คนที่มาจากการลากตั้งของหัวหน้า คสช. ถูกกำหนดให้มีอำนาจและสิทธิในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับส.ส. 500 คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
จากสถานการณ์การเมืองตอนนี้
ย่อมหมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. คือผู้คัดสรร 250 ส.ว. ซึ่งในนั้นประกอบไปด้วยพี่เพื่อนน้อง ในกองทัพ เครือญาติ คนใกล้ชิดอยู่เต็มไปหมด ให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการโหวตสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดต นายกฯพรรคพลังประชารัฐ กลับมาเป็นนายกฯอีกสมัย 4 ปี เป็นอย่างน้อย
กรณีของ 250 ส.ว. มาถึงจุดนี้ก็เปรียบเสมือนข้าวสาร กลายเป็นข้าวสุก ผู้มีอำนาจหุงเอง กินเอง ยากแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ เพราะบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ “ดีไซน์” ไว้ก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
แต่ที่เป็นประเด็นให้ต้องลุ้นกันต่อ ก็คือการจัดตั้งรัฐบาล
เพราะภายหลัง กกต.งัดสูตรคำนวณพิสดาร แจกเก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อให้พรรคการเมืองมากถึง 26 พรรค โดยในจำนวนนี้มีถึง 11 พรรคที่ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยจำนวนส.ส.พึงมี หรือน้อยกว่า 7.1 หมื่นคะแนนโดยประมาณ
กระทั่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา มากมาย จากนักการเมืองพรรคฝ่ายประชาธิปไตย นักวิชาการคณิตศาสตร์ อดีตกกต. สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป ว่าสูตรคำนวณดังกล่าวของ กกต.ไม่เป็นไปตามวิธีที่กำหนดรายละเอียดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128
มีเจตนาช่วยให้พรรคการเมืองบางพรรคสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ หรือไม่ น่าจะมีการยื่นร้องคัดค้านตามมามากมาย
เพราะด้วยสูตรส.ส.ดังกล่าว หลังกกต.ประกาศออกมาก็ทำให้พรรคพลังประชารัฐเกิดอาการคึกคัก ถือโอกาสเคลมทันทีว่าสามารถกลับสู่เส้นทางเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
อ้างว่า เบื้องต้นรวบรวมจำนวนส.ส.จากพรรคพันธมิตรไว้ได้แล้วเกินครึ่ง 254 เสียง ได้แก่ พลังประชารัฐ 115 ประชาธิปัตย์ 52 ภูมิใจไทย 51 ชาติไทยพัฒนา 10 รวมพลังประชาชาติไทย 5 ชาติพัฒนา 3 และกลุ่มพรรคเล็กอีก 18
เบียดเอาชนะพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้ ตัวเลขรวมกันแค่ 245 เสียง คือ เพื่อไทย 136 อนาคตใหม่ 80 เสรีรวมไทย 10 ประชาชาติ 7 เศรษฐกิจใหม่ 6 เพื่อชาติ 5 และพลังปวงชนไทย 1
ที่ตามมา คือการกระพือข่าวแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรี สร้างปมดราม่า ทำนองว่าพรรคขนาดกลางไม่ปลื้มโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีที่พลังประชารัฐใช้เป็น เครื่องล่อใจ ยื่นเงื่อนไขให้อัพเกรด ไม่อย่างนั้นจะแยกไปจับมือเป็นขั้วที่ 3 ตั้งรัฐบาลแข่งกับขั้วพลังประชารัฐและเพื่อไทยให้รู้แล้วรู้รอด
จากนั้นก็มีข่าวพลังประชารัฐเริ่มเสียงอ่อย อาจยอมปล่อยกระทรวงหลัก หรืออย่างน้อยก็ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจออกไปให้พรรคร่วม เพื่อแสดงความใจกว้างและความจริงใจ ต้องการให้มาร่วมงานกัน
กระแสข่าวการแบ่งเค้กอำนาจ ได้รับการปฏิเสธจากแกนนำพรรคการเมืองที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งพรรค ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ชาติไทยพัฒนา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อ้างว่า ข่าวการจับมือกับพรรคชาติไทยพัฒนาเพื่อต่อรองโควตาเก้าอี้ ในรัฐบาลกับพลังประชารัฐนั้น ไม่เป็นความจริง รวมถึงข่าวการจัดตั้งรัฐบาล เพราะภูมิใจไทยกำลังฟังเสียงประชาชน
นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวเช่นเดียวกัน ระบุว่าคุยกับนายเนวิน ชิดชอบ ในเรื่องของการทำทีมฟุตบอลเท่านั้น ไม่ได้คุยกันเรื่องการเมืองตามที่เป็นข่าว
มีการตั้งข้อสังเกต การที่พลังประชารัฐอ้างว่าสามารถรวบรวมส.ส.ได้ 254 เสียงแล้วนั้น หมายถึงการรวมประชาธิปัตย์ 52 เสียงเข้าไปด้วย ถือเป็นการ “ตีกิน” หรือไม่
เนื่องจากล่าสุดนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค ให้สัมภาษณ์ในทำนองปฏิเสธแล้วเช่นกัน ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับ พรรคใหญ่ขั้วใดทั้งสิ้น จนกว่าจะมีการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ชุดใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้เสียก่อน ทุกอย่างจะเริ่มต้นนับหนึ่ง หลังจากนั้น
นอกจากความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่าย ประชาธิปไตย นำโดยพรรคเพื่อไทย และอนาคตใหม่ ที่เรียกร้องกดดันไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง 24 มีนาคม ที่ว่า
พรรคภูมิใจไทยจะสนับสนุนแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีที่เป็นส.ส. และมาจากเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่เห็นด้วยและจะไม่ยอมให้ 250 ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนเป็นผู้กำหนดตัวนายกฯ
นอกจากความเคลื่อนไหวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เดินหน้าทวงถามคำสัญญาที่พรรคต่างๆ ให้ไว้เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ให้ร่วมกัน ปิดสวิตช์ส.ว. ไม่ให้กลุ่มคนที่ไม่ได้มาจาก ประชาชน เข้ามามีส่วนโหวตกำหนดตัว นายกฯ
พรรคประชาธิปัตย์ยังถือเป็น “ตัวแปรสำคัญ” ที่ต้องจับตาว่าหลังวันที่ 15 พฤษภา คมจะมีมติออกมาอย่างไร รวมถึงส.ส. 52 เสียงจะมีเอกภาพไปในทิศทางเดียวกัน หรือไม่ จะเลือกวิธีไถ่บาป โดยเลือกยืน อยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย หรือจะเลือกอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ
เป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดอำนาจแบบไร้รอยต่อ
………
..อ่าน..
- ‘เนวิน’ ไม่ถูกใจสิ่งนี้! พลังประชารัฐ แบ่งโควต้าเก้าอี้รมต. ต่อสายดีล‘ท้อป’ร่วมกดดัน
-
วุ่นหนัก! ตั้งรัฐบาลบิ๊กตู่ ระส่ำ พรรคร่วมฯ จ่อสละเรือ ถ้ายังมี ‘บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก’