ทำบุญวันเกิด 50 ปีที่วัดสระเกศ “ปู” ถึงกับหลั่งน้ำตาร่ำไห้ เผย ตั้งตารอโชคชะตาหลังเดือนเกิดที่ใกล้จะถึง ระบุเป็นเรื่องหนักหนา หวังว่าศาลจะให้ความเป็นธรรม มีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นในชีวิตบ้าง เอ่ยขอโทษที่ทำให้เห็นน้ำตา เพราะบางครั้งไม่อาจระงับความรู้สึกได้ แต่ยืนยันไม่หนีไปไหน พร้อมให้พิสูจน์ความจริง ด้าน”บิ๊กตู่”เยือนขอนแก่นตีปี๊บอีสาน 4.0 ท่ามกลางการอารักขาสูงสุดดุจไข่ในหิน อ้อนอย่ารังเกียจรัฐบาล รักไม่ต้องมาก รักน้อยๆ แต่ขอให้นานๆ “เสธ.พีท” ห้าวอีกยกกำลังทหาร-ตำรวจกว่า 30 นาย บุกตรวจค้นบ้านพักกลุ่มดาวดินตั้งแต่ไก่โห่ เจอสวนไม่มีหมายศาลไร้หมายค้น เวทีประชาพิจารณ์แก้กฎหมายบัตรทองวุ่นยันวันสุดท้าย

ปูทอดผ้าป่าทำบุญวันเกิด 50 ปี

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 21 มิ.ย. ที่วัด สระเกศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางมาทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 50 โดยมีอดีตรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตส.ส. ทีมทนาย พร้อมทั้งประชาชน อาทิ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ นายวราเทพ รัตนากร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช. นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีตส.ส.ขอนแก่น นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.กทม. มาร่วมทำบุญด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.สำราญราษฎร์คอยอำนวยความสะดวก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาถึงได้ตรงไปปักต้นผ้าป่า จากนั้นจึงเดินขึ้นภูเขาทองเพื่อสักการะพระธาตุ โดยระหว่างทางเดินขึ้น ได้แวะตีฆ้องชัย 3 ครั้งและตีระฆังเพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นได้เข้ากราบสักการะองค์พระประธานประจำพระธาตุ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สร้างถวายไว้ ก่อนจะถวายผ้าป่าและถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ 9 รูป เดินขึ้นถวายผ้าห่มพระธาตุโดยได้ทำประทักษิณเดินวนรอบพระธาตุ 3 รอบด้วย

ร่ำไห้สะอื้น-อัดอั้นชะตาชีวิต

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์โดย ได้ร้องไห้และมีอาการสะอื้นตลอดการให้สัมภาษณ์ว่า วันเกิดปีนี้ของตน สิ่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอคือโชคชะตาหลังเดือนเกิด หวังว่าหลังวันเกิดปีนี้จะมีสิ่งที่ดีเข้ามาบ้าง และไม่ได้เป็นปีแรกที่พบเจอปัญหาอุปสรรค วันเกิดปีนี้คงใกล้จะถึงเรื่องที่หนักหนาของชีวิต ที่เราต้องสร้างพลังใจของเราให้เข้มแข็ง หลายครั้งที่เห็นว่าเรายิ้มได้ แต่บางครั้งก็ไม่สามารถระงับความรู้สึกได้ ต้องขอโทษที่ทำให้เห็นน้ำตา ในวันนี้ ซึ่งได้พยายามอย่างเต็มที่เพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นเป็นห่วง แต่เป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งตนพยายามจะเข้มแข็ง และเชื่อว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ตนผ่านอุปสรรคต่างๆได้ สำหรับวันเกิดปีนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ พี่ชายได้โทรศัพท์พร้อมส่งดอกไม้มาให้กำลังใจตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยอยากให้เราสดชื่น และอวยพรให้น้องพ้นทุกข์พ้นโศก และบอกพี่รักน้อง

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวแสดงห่วงใยสถาน การณ์บ้านเมืองว่า ส่วนตัวเป็นห่วงบ้านเมืองและเชื่อว่าผู้อื่นก็เป็นห่วงบ้านเมืองเช่นกัน เพราะเราทุกคนรักประเทศไทย และอยากเห็นประเทศมีความสุข ให้ทุกคนหันมามองหน้ากัน ไม่อยากเห็นบรรยากาศที่มีการต่อว่าหรือทำให้ทุกฝ่ายเกิดการแบ่งแยก ขอให้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้คุ้มครองคนไทยและประเทศไทยให้มีความรักและสามัคคี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนอยากเห็น สิ่งสำคัญอยากให้ทุกคนกินดีอยู่ดี มีกินมีใช้อย่างพอเพียง ทั้งหมดถือเป็นความฝันสูงสุด แต่ไม่มั่นใจว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ถ้าหากทุกคนทุกฝ่ายช่วยกันก็เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้

หวังได้ความเป็นธรรมจำนำข้าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงการต่อสู้คดีในโครงการรับจำนำข้าว ว่าตนคาดหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะทุกอย่างอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาคดี สิ่งใดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจะร้องขอต่อศาล หวังว่าศาลจะเมตตาให้ความเป็นธรรม โดยเห็นว่าหากผู้ที่ดำเนินนโยบายได้รับผลเช่นนี้ก็เชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าดำเนินการเพื่อช่วยเหลือประชาชน

“แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อดิฉันได้ดำเนินการทุกอย่างแล้ว ก็รู้ว่าที่ทำเพื่ออะไร สิ่งต่างๆเหล่านั้น หวังว่าจะมีคนเข้าใจ มีคนเห็นใจและให้ความเป็นธรรมบ้าง ขอให้เห็นความตั้งใจของเรา อย่ามองแค่ปลายทาง อย่าเอาเหตุการณ์ปัจจุบันมาตัดสินการกระทำใน อดีตเลย เพราะบางครั้งสิ่งต่างๆ ได้เดินผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าผลการวินิจฉัยคดีจะออกมาในทางลบหรือไม่ แต่พยายามเข้มแข็งตลอดเวลาที่ถูกดำเนินคดี และนำพยานขึ้นสู่ศาลทุกนัด ความเข้มแข็งเรามีขีดจำกัด ถ้าใครเจออย่างดิฉัน ก็คงหนักหนาเหมือนกัน หวังว่าอีกไม่กี่นัดที่เหลือจะฝ่าฟันอุปสรรคได้ และคงได้รับความยุติธรรม ขอบคุณประชาชนที่มาให้กำลังใจที่หน้าศาลเกือบทุกนัดด้วยความยากลำบาก ขอบคุณในสิ่งความเมตตาคนชื่อยิ่งลักษณ์มาตลอด หวังว่าจะได้มีโอกาสขอบคุณทุกคนด้วยตัวเองที่ประเทศนี้ และได้ทำบุญวันเกิดในปีหน้าอีก” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินลงมาจากภูเขาทอง มีประชาชนจำนวนหนึ่งรอต้อนรับพร้อมร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ด้วย จากนั้นเวลา 11.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ไปสักการะศาลหลักเมือง พร้อมจุดตะเกียงน้ำมันพระประจำวันเกิด เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อให้ชีวิตสดใส ราบรื่น

ญาติพี่น้อง-พท.จัดงานอวยพร

เมื่อเวลา 12.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาที่ รร.เอสซีปาร์ค เพื่อร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์วันเกิด โดยมีครอบครัว ญาติพี่น้อง บรรดาอดีตรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาว นายพายัพ ชินวัตร พี่ชาย น.ส.แพทองธาร น.ส.พินทองทา ชินวัตร หลานสาว นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เป็นต้น ร่วมกันจัดงานเลี้ยงให้ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ชื่นมื่น

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป่าเทียนเค้กวันเกิด พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณกำลังใจจากทุกท่าน น้อมรับทุกพร ทุกกำลังใจ อยากจะส่งกำลังใจไปให้พี่ชายด้วย เชื่อว่าท่านอยากมาร่วมงานด้วย เชื่อว่าเราจะมีโอกาสมีโชคดี ส่งกำลังใจไปให้พี่ชายด้วย จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แจกเค้กวันเกิดให้กับมาผู้ร่วมงาน เป็นเค้กรูปปู

ยืนยันไม่หนี-พร้อมให้พิสูจน์

น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่อยากมีโอกาสมาร่วมทำบุญด้วยกันอีกในปีหน้าในประเทศนี้ ซึ่งมีการตีความกันว่าจะไม่อยู่ในประเทศอีกว่า ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน เราอยากมีโอกาสมาร่วมทำบุญด้วยกันอีกในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ไปตีความไปแบบนั้นเลย เท่านี้ก็หนักพอแล้ว เราทุกคนต่างมีความหวังแม้ความหวังนั้นจะ มีเพียง 1% ก็ตาม ขออย่าซ้ำเติมกันอีกเลย

เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการหลบหนีคดีออกนอกประเทศหลังจากการพิจารณาคดีจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้ดิฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อที่จะพิสูจน์ความจริง และหวังว่าสิ่งที่ดิฉันพิสูจน์ความจริงนี้จะทำให้ทุกอย่างรอดพ้นจากคดี เราเชื่อในความบริสุทธิ์ของเราในการที่จะต่อสู้

วิษณุปัดตอบคดีจำนำข้าวปู

เมื่อเวลา 16.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงความคืบหน้าการยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จากความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวว่า ยังไม่มีการมารายงานให้ตนทราบและไม่เคยไปเร่งรัดหน่วยงานที่ดำเนินการ อย่างไรก็ตาม หากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสืบพยานจำเลยที่เหลือเสร็จ ตามกระบวนการก็จะมีการพิพากษา ส่วนจะใช้เวลาพิจารณานานเท่าใดนั้นไม่ทราบ หากเทียบกับคดีอื่น เมื่อสืบพยานเสร็จแล้วจะรอให้แต่ละฝ่ายแถลงปิดคดี ขึ้นอยู่กับจะมีหรือไม่

เมื่อถามว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ รู้สึกกลัวกับการพิจารณา นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ หากเป็นสื่อจะกลัวหรือไม่ จะมาถามทำไม เรื่องนี้ใจเขาใจเรา

นายวิษณุกล่าวถึงคำสั่งหัวหน้าคสช. ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อปลดล็อกการใช้ที่ดินของส.ป.ก. ดำเนินกิจการพลังงาน 3 ประเภท คือผลิตปิโตรเลียม กิจการไฟฟ้าจากกังหันลม และกิจการสำรวจเหมืองแร่ว่า กำลังทำเนื้อหารายละเอียดอยู่เนื่องจากคสช.ขอให้ปรับปรุงบางอย่าง ซึ่งข้อมูลจากส.ป.ก. ระบุว่าไทยมีที่ดินส่วนที่นำมาใช้ปฏิรูปที่ดิน 40 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนี้เอาไปให้เช่าเพื่อทำประโยชน์อย่างอื่น เช่น เหมือง กังหันลมและขุดเจาะน้ำมัน ไม่ถึง 0.1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 4 พันไร่ของพื้นที่ส.ป.ก.ทั้งหมด จึงไม่ใช่ปริมาณที่มาก และจะควบคุมให้อยู่ปริมาณเท่านี้

แจงเปิดที่ดินสปก.สำรวจแร่

นายวิษณุกล่าวว่า รายละเอียดที่ต้องดูคือกรณีจะอนุญาตเพื่อให้เอาที่ดินไปใช้เพื่อสำรวจปิโตรเลียม เช่น ที่ลานกระบือ และที่จะสำรวจใหม่ในภาคอีสานบางจุด เมื่อสำรวจพบว่ามีจริงก็เปิดสัมปทาน โดยก่อนจะขุดเจาะ ต้องมาขออนุญาตอีกครั้ง ขณะที่กิจการกังหันลม ปัญหาคือการทำถนนเข้าไปนั้นจะอนุญาตกรณีลำเลียงคนเข้าไปทำงานหรือสำหรับเดินท่อโซลาร์ฟาร์มที่แปรรูปเป็นไฟฟ้าแล้วนำส่งออกมาให้ ซึ่งจะต้องตัดผ่านที่ดินส.ป.ก.

นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนการสำรวจแร่ ต้อง เตรียมทำรายละเอียดเผื่อไว้สำหรับกิจการอื่นที่จะต้องออกกฎกระทรวงในอนาคต โดยการอนุญาตจะไม่ให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ อนุญาตได้ตามใจ แต่ต้องออกเป็นกฎกระทรวง เสนอเข้าครม.เห็นชอบเป็นรายกรณี ยกเว้นรายที่ทำอยู่ขณะนี้ซึ่งมีสัญญาผูกมัดกับรัฐแล้ว ให้ทำตามระเบียบก่อนหน้านั้น กระทั่งกฎกระทรวงฉบับใหม่ใช้บังคับ บริษัทเหล่านั้นจะต้องไปขออนุญาตใหม่เช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทที่ประกอบกิจการ อาทิ ที่ลานกระบือมี 5-6 บริษัท และปตท.สผ. ส่วนพลังงานลม มีผู้ประกอบการไม่ถึง 20 บริษัท และเหมืองแร่มี 5-10 บริษัท

พบปะ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เยี่ยมชมโรงผลิตนมโรงเรียน พร้อมนิทรรศการด้านพัฒนาการเกษตร และพบปะทักทายเกษตรกร ที่สหกรณ์โคนม จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.

บิ๊กตู่ยกคณะเยือนขอนแก่น

เมื่อเวลา 07.20 น. วันเดียวกัน ที่ฝูงเครื่องบิน กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกอง ทัพบก ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกฯ พล.อ.ฉัตรชัย สาริ กัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกฯ เดินทางโดยเครื่องบินกองทัพบกไปยังท่าอากาศยานขอนแก่น ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจราชการตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ต่อมาเวลา 09.30 น. ที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะ เยี่ยมชมนิทรรศการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น 8 ด้าน รวมกว่า 39 โครงการวิจัย โดยมีผู้สนใจจากทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสาน เข้าร่วมรับฟังนโยบายของรัฐบาลรวมกว่า 5,000 คน

แขวะชิตังเมโป้งรวย-ไม่จริง

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปาฐกถาเรื่อง “การขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ท่ามกลางประชาชนจาก 20 จังหวัดภาคอีสานที่มารับฟังกว่า 5,000 คน ตอนหนึ่งว่า นโยบายของรัฐบาลในการพัฒนา ประเทศยังคงเน้นหนักในรูปแบบการสร้างความมั่งคั่งและยั่งยืน สิ่งที่พบขณะนี้คือยอดผู้มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยมากถึง 14.9 ล้านคน ในจำนวนนี้มากถึงร้อยละ 30 มีรายได้ต่อปีต่อคนอยู่ที่ 30,000 บาท อย่างนี้รัฐบาลรับไม่ได้ จะต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ประชาชนมีอยู่มีกินด้วยนโยบายต่างๆ ที่กำหนดไว้

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้มีการวิจารณ์การทำงานอย่างมากในด้านต่างๆ ทำไมไม่ฟังและจับประเด็น เวลาประชุมต้องฟังและจับประเด็นและนำกลับไปทำงาน เพราะรัฐบาลมองให้ไกลและกลับมามองในสิ่งที่ใกล้ตัว ซึ่งทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานจะต้องปรับแนวทางการทำงาน ทั้งหมดจะต้องคิดใหม่ ทำใหม่ มองให้ไกลและทำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เราเข้าสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งก่อนหน้านี้เราทำมาตามลำดับตั้งแต่ 1.0-2.0-3.0 โดยมีขั้นตอนในการทำงานทั้งหมดแล้ว ดังนั้น การเชื่อมต่อคนจนมาสู่คนรวยและทำงานร่วมกันนั้น รูปแบบประชารัฐที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้เป็นสิ่งที่จะขับเคลื่อนแนวทางการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ขอให้ใช้ชีวิตแบบมีสติ มีภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อคนที่มาหลอกลวงว่าจะมีเงิน ซิตังเมโป้งรวยเพราะไม่มีใครจะรวยได้ง่ายๆ

ท้าคนที่หนีกลับมา-อย่าเอาแต่ด่า

นายกฯ กล่าวว่า การตอบคำถาม 4 ข้อที่สอบถามนั้น ต้องขอบคุณคนขอนแก่นที่ตอบคำถามมากที่สุดในประเทศไทย ขณะนี้มียอดส่งคำตอบมากกว่า 10,000 คน ซึ่งการตั้งคำถามเพื่ออยากรับรู้ปัญหาของประชาชน ว่ามีความเห็นอย่างไรของการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยและอยากให้ทุกคนช่วยกันตอบ เพื่อไม่ให้ถูกนำไปบิดเบือนว่านายกฯตั้งคำถามแล้วไม่มีคนตอบ เช่นเดียวกับเรื่องการแก้ไขพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ถูกบิดเบือนว่าจะยกเลิกโครงการ 30 บาท ขออย่าเชื่อหากมีใครมาบิดเบือน รัฐบาลไม่ได้ยกเลิก และยืนยันว่าไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่ขอให้ไปดูว่าที่ทำมาดีพอแล้วหรือไม่ ถ้าดีตนคงไม่ต้องแก้ ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลกำลังเดินหน้าตามรัฐธรรมนูญ มีการทำประชาพิจารณ์กฎหมายต่างๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามกลไกของรัฐธรรมนูญและกลไกประชาธิปไตย ที่ต้องหาข้อยุติให้ได้ ดังนั้น หากค้านอย่างเดียว รัฐบาลก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ซึ่งตนจะไปบังคับใครไม่ได้

“วันนี้จะบอกให้ว่า ผมเป็นรัฐบาลที่ใจดีที่สุดในโลก ที่ผ่านมาพวกไม่เข้ากระบวนการยุติธรรม คิดว่าคนดีหรืออย่างไร แล้ววันนี้มาบอกว่าผมไปไล่ล่า ยอมรับกติกา รัฐบาลวันนี้ไม่มีรัฐบาลไหนทำให้แบบนี้ นึกถึงคนทุกคน นึกถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพราะทุกคนคือคนไทย คนที่อยู่เมืองนอก กลับมารับผิดได้แล้ว อย่าหนี อย่ามัวแต่ด่าอยู่ที่ต่างประเทศ หนีแล้วไปนั่งด่าโก้ๆ แบบนี้จะให้ผมอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ผมก็มีชีวิตจิตใจ และผมสุภาพที่สุดแล้ว อย่าหาว่าผมดุ ตอนเป็นทหารดุกว่านี้อีก ไม่อย่างนั้นปกครองทหารไม่ได้” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

วอนอย่ารังเกียจ-ขอให้รักนานๆ

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ประเทศของ เรากำลังก้าวสู่การเป็นประเทศสุดโต่ง หาก จัดลำดับความเปลี่ยนแปลงของประเทศ ในภาพรวม แบ่งได้ 3 รูปแบบคือประเทศที่เปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลัน เปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่ยนรูปแบบที ดูได้จากหลายประเทศที่เปลี่ยนผู้นำทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป รองลงมาคือประเทศย้อนแย้ง คือมีการพูดจาหารือกันไป-มา มีข้อขัดแย้ง มีการโต้เถียงไม่เข้าใจกัน และท้ายคือสุดโต่ง คือประเทศที่ต้องการจะพัฒนาในบริบทที่เปลี่ยนแปลงและเชื่อมโยงกับนานาประเทศได้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ไทยไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะเรามีเพื่อนบ้าน มีกลุ่มประเทศอาเซียน มีกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่ม น้ำโขง และเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยในปี 2561 ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศจะมีอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายใช้งานกันแล้ว ก็จะสื่อสารได้กับคนทั่วทั้งโลกได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ใช้เวลาปาฐกถานาน 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้น ได้ร่วมถ่ายภาพกับคณะรัฐมนตรีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนที่นายกฯ จะถือไมค์ลอย พูดกับผู้มาร่วมรับฟังบรรยายอย่างเป็นกันเอง โดยระบุว่า “อย่ารังเกียจทหาร อย่ารังเกียจรัฐบาล เป็นรัฐบาลมา 3 ปี ผมแก่ลงมาก ขอให้รักผมน้อยๆ แต่ขอรักผมให้นานๆ”

ขอนักเรียนอย่าเกลียดทหาร

จากนั้น นายกฯ ทักทายและพูดคุยกับนักศึกษาที่มาร่วมงาน โดยมีนักศึกษาที่ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งนายกฯ พูดหยอกล้อว่า ใส่หน้ากากเหมือนนายวัฒนา ภุมเรศ ผู้ก่อเหตุ วางระเบิดที่ร.พ.พระมงกุฎเกล้า และถามนักศึกษาว่า รู้จักหรือไม่ แต่ไม่รู้จักก็ดีแล้ว อย่าไปรู้จักเลย

ต่อมานายกฯ เดินลงมาใต้หอประชุม เพื่อพบกับเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายกว่า 2,000 คนจากจังหวัดต่างๆ ทั่วภาคอีสาน ที่มารอต้อนรับ โดยนายกฯ ร่วมถ่ายเซลฟี่กับนักเรียน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมบอกกับนักเรียนด้วยว่า ขอทุกคนอย่าเกลียดทหาร ยอมรับแม้จะมีทหารบางคนที่ไม่ดี แต่คนที่ไม่ดีก็มีในทุกอาชีพ เพียงแต่คนดีมีมากกว่า

กันวุ่น-ไม่ให้เข้าไปร้องเรียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มข. พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รอง ผบ.ตร. ลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยตามมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ และคณะ โดยกำลัง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการเข้า-ออกของผู้มาร่วมงานอย่างเข้มงวด มีการตั้งเครื่องสแกนอาวุธ กำหนดประตูทางเข้าเพียง 3 ช่องทางเพื่อตรวจค้นสัมภาระ และวางกำลังโดยรอบศูนย์ประชุม โดยผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้าในพื้นที่โดยเด็ดขาด

ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังคัดกรองบุคคลมาร่วมงานนั้น มีประชาชนบางส่วน พยายามฝ่าประตูทางเข้าห้องประชุม เพื่อไปยื่นหนังสือร้องเรียนและขอความช่วยเหลือในเรื่องเงินทุนนอกระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมสถานการณ์และนำตัวไปสงบสติอารมณ์ ที่บริเวณด้านล่างของอาคารศูนย์ประชุม ก่อนจะควบคุมตัวไปที่ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์ประชุมประมาณ 500 เมตร เพื่อแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์

จากการตรวจสอบพบว่าผู้ที่จะมายื่นหนังสือร้องเรียนและขอความช่วยเหลือจาก นายกฯนั้น เป็นหญิง อายุประมาณ 45 ปี 1 คน และอายุประมาณ 60 ปี 1 คน โดย เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้สื่อสอบถามรายละเอียดแต่อย่างใด

ตำรวจตามจับตายิบกลุ่มดาวดิน

รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงเช้าวันนี้ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น นำโดยพ.ต.อ.จำลอง สุวลักษณ์ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ได้สนธิกำลังร่วม ทหารและฝ่ายปกครองลงพื้นที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของสมาชิกกลุ่มดาวดิน ซึ่งมีบ้านพักเป็นบ้านเช่าในชุมชนโคลัมโบ ซอย 3 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งจากการตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าวพบสมาชิกกลุ่มดาวดินอยู่ในบ้านพัก 3 คน นอกจากนี้ ยังพบเอกสารการต่อต้านร่างพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่โรงแรมอวานี ขอนแก่น แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ผ่านมาจำนวนหนึ่งด้วย จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็น กลุ่มดาวดินเท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มคนที่เคยเคลื่อนไหวด้านต่างๆ ด้วย เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงที่นายกฯ ลงพื้นที่ใน จ.ขอนแก่น

เพจดาวดินแฉเสธ.พีท”คนดัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตรวจค้นบ้านเช่าของสมาชิกกลุ่มดาวดินในวันนี้ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าจะมีการแสดงสัญลักษณ์และการต่อต้านต่างๆในช่วงที่นายกฯ ลงพื้นที่ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีความพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ โดยทำการตรวจสอบและการตรวจค้นกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายค้น เพราะถ้ามีความน่าสงสัยก็ตรวจค้นได้ทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับกลุ่มดาวดิน โดยไม่มีการกลั่นแกล้งหรือทำการรุนแรงใดๆ จนเป็นที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก “ดาวดิน สามัญชน” โพสต์ข้อความ พร้อมแพร่ภาพสด ระบุว่าเมื่อเวลา 06.40 น. มีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ 30 นาย นำโดยพ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี หรือเสธ.พีท บุกเข้าไปตรวจค้นในบ้านดาวดินที่ จ.ขอนแก่น โดยไม่มีหมายศาล และได้นั่งเขียนหมายการตรวจค้นในบริเวณบ้าน ก่อนนำเอกสารบางอย่างออกจาก บ้านดาวดิน โดยไม่ได้รับการยินยอม และ อ้างเอาไปเป็นหลักฐาน เมื่อถามเจ้าหน้าที่ว่าใช้อำนาจอะไร ก็ชี้ไปที่เสธ.พีท

ระบุบุกค้นโดยไม่มีหมายศาล

จากนั้นเวลา 07.25 น. ทหารและตำรวจ ทยอยกลับพร้อมให้เหตุผลว่า “นายบอกว่าอย่าไปกวนน้องเขา” และเมื่อขอดูเอกสารก็ไม่ให้ดูว่าเอาอะไรไปบ้าง พร้อมไม่ให้ดูหมายที่เขียนว่ามีข้อความอย่างไร

ในเฟซบุ๊กระบุด้วยว่า คาดว่าสาเหตุการบุกค้นครั้งนี้มาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมายังมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อปาฐกถาขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เวลา 08.00-11.30 น. ซึ่งตามกฎหมายในการตรวจค้นจะต้องขออำนาจศาลก่อน ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่บุกเข้ามาตรวจค้นโดยไม่มีหมายศาล และหยิบจับเอาเอกสารไปโดยที่ไม่ได้รับการยินยอม ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ การกระทำของผู้รักษากฎหมายดังกล่าวเป็นการกระทำอันไร้เกียรติและไม่เคารพต่อกฎหมาย สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผู้อื่น

ขอนแก่นฮือฮาทะบียนรถตู้ตู่

ต่อมาเวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางมาที่สหกรณ์โคนมขอนแก่น จำกัด โดยมีเกษตรกรในจ.ขอนแก่น ให้การต้อนรับกว่า 1,200 คน ซึ่งทันทีที่รถของนายกฯมาถึงบริเวณเวทีกลาง เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก เพราะผู้มารอต้อนรับส่วนใหญ่ต่างเฝ้าจับตาดูรถที่นายกฯ ใช้ปฏิบัติภารกิจตลอดทั้งวันในวันนี้ ซึ่งนายกฯ นั่งรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว หมายเลขทะเบียน กง -5050 ขอนแก่น ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างหยิบโทรศัพท์ มือถือถ่ายภาพหมายเลขทะเบียนรถ พร้อมส่งไลน์และเฟซบุ๊กให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนๆ อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ นายกฯ ได้มอบงบสนับสนุนการก่อสร้างโรงรวบรวมน้ำนมดิบ และโรงผสมอาหารสัตว์ มอบเงินให้กับธนาคารสินค้าเกษตรตามโครงการโคนมทดแทนฝูง 4,950,000 บาท มอบเงินโครงการยางพารา ปูพื้นโรงเลี้ยงโคนม 1,990,000 บาท มอบเครื่องตรวจอัลฟาท็อกซินในน้ำนม และมอบเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน ส.ป.ก.4-01 ให้กับเกษตรกร 5 แปลง พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการภาพรวมการพัฒนาการเกษตร และโรงผลิตนมโรงเรียน ชมการสาธิตการตรวจสอบคุณภาพนมโรงเรียนและยังร่วมดื่มนมโรงเรียน ร่วมกับเด็กๆ ในชุมชนด้วย

น้อยใจคนฟังชี้แจงน้อยกว่าลำไย

โดยนายกฯ กล่าวว่า ดีใจที่ได้พบเกษตรกร อยากให้เกษตรกรช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเอง ระเบิดจากข้างใน ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเดียว เพราะไม่มีรัฐบาลไหนยกหนี้ให้เกษตรกรได้ทั้งหมด และตนไม่สามารถใช้มาตรา 44 เข้ามาช่วยได้ ซึ่งรัฐบาลก็มีมาตรการดูแลช่วยเหลือลูกหนี้ ยืนยันรัฐบาลตั้งใจเข้าใจบริหารความยากจน ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศได้ 3 ปี ไม่สามารถนอนตาหลับได้ เพราะต้องคิดถึงการแก้ปัญหาให้กับทุกคน รัฐบาลจะต้องช่วยเหลือทุกคนอย่างเท่าเทียม นักการเมืองและส.ส.ก็ต้องคิดแบบนี้ ไม่ใช่จะช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม

ในช่วงท้าย นายกฯ ยอมรับว่าการชี้แจงกับประชาชนครั้งละนานๆ ก็ทำให้เหนื่อย แม้จะมีคนตั้งใจฟังน้อย สู้เพลงผู้สาวขาเลาะของลำไย ไหทองคำไม่ได้ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และกรณีของลำไย ส่วนตัวไม่ว่าอะไร เป็นเรื่องสนุกสนาน เพียงแต่อยากสะกิดสังคม

นายกฯ ยังได้นำผ้าขาวม้าที่ชาวบ้านนำมาคาดเอวมาเช็ดเหงื่อ และหอม พร้อมให้ข้อคิดว่า หากเราจะรักใครต้องดูว่าเขารักเราหรือไม่ ถ้าเขาไม่รักเราก็อย่าไปให้ความสำคัญเพราะคนเหล่านี้ไม่เหมือนตนที่แม้จะมีบางส่วนไม่รักตน แต่ตนก็รักและจะทำเพื่อทุกคน

เผยครม.สัญจรจัดเพื่อให้อุ่นใจ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ขอบคุณทุกคนที่มารอ มาฟังนโยบายของรัฐบาล ตนสังเกตเห็นทุกคนมารอดูป้ายทะเบียนรถตน ก็ขออย่าให้งมงายมากนัก ซื้อ 50-50 แต่พอเพียงก็พอ อย่างไรก็ดี การลงพื้นที่ขอนแก่นวันนี้มีงบประมาณติดปลายนวมให้ด้วย ให้ทำโครงการและทำให้ได้ แม้จะทำโครงการใหญ่ไม่ได้ก็ขอให้ทำโครงการขนาดเล็กและขนาดย่อมไปก่อน ตนไม่ยอมให้ใครมาผลาญงบแผ่นดิน ทุกงบต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่พูดอย่างนี้คือไม่ต้องการให้ทุกคนมารักตน ขอให้ รักประเทศชาติก็พอ

ต่อมาเวลา 16.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดการจัดการประชุมครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือครม.สัญจรว่า คิดเอาไว้แล้ว ไปเพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ ไม่ได้ไปหาเสียง ไปกันทั้งครม.ให้เจอและได้พูดคุยกัน พร้อมเยี่ยมประชาชน อย่างน้อยไปให้ใน 18 กลุ่มจังหวัดก็ยังดี ไปเพื่อให้เห็นความตั้งใจของรัฐบาล ไม่ใช่มองแต่เรื่องการเมือง รัฐบาลชุดนี้ไม่มีการเมืองทั้งสิ้น

จากนั้นนายกฯและคณะเดินทางไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับกทม.

แถลงการณ์ค้านม.44ที่ส.ป.ก.

วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิ การสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง ค้านใช้มาตรา 44 ปลดล็อกใช้ที่ดินส.ป.ก. เอื้อปิโตรเลียม-อุ้มเหมืองแร่-อวยไฟฟ้าพลังงานลม-แสงอาทิตย์ โดยระบุว่า ตามที่ที่ประชุมร่วมคสช.และครม. มีมติเห็นชอบให้ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ปลดล็อกให้ 3 กิจการที่ได้ดำเนินการไปแล้วบนที่ดินของ ส.ป.ก. ให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ ประกอบด้วย 1.การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 2.การวางกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า และ 3.การทำเหมืองแร่ โดยให้ถือว่าไม่ขัดกับวัตถุ ประสงค์ของพ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรม ที่ต้องการให้ใช้ที่ดินส.ป.ก. เฉพาะด้านการเกษตรและลดความเหลื่อมล้ำให้แก่เกษตรกรนั้น

สมาคมเห็นว่าแนวคิดที่จะใช้อำนาจมาตรา 44 ดังกล่าวขัดต่อสัญญาประชาคมที่หัวหน้า คสช.และนายกฯเคยประกาศมาตลอดว่า “ให้ทุกคนเคารพกฎหมาย” ซึ่งกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากการใช้อำนาจของข้าราชการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และเมื่อมีกรณีพิพาทจนฟ้องร้องถึงศาลปกครองสูงสุดโดยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว สมควรที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ หรืออนุญาตให้ใช้ ที่ดินส.ป.ก.ทั้ง 3 กรณีดังกล่าว ต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเพราะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

จ่อยื่นร้องศาลรธน.วินิจฉัย

นายศรีสุวรรณกล่าวต่อว่าแต่คสช.และครม. นอกจากไม่ลงโทษแล้วกลับพยายามเอื้อ-อุ้ม-อวยประโยชน์ปกป้องข้าราชการและนายทุน และกลุ่มผลประโยชน์ด้วยการใช้อำนาจมาตรา 44 อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่ คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้เป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายไปแล้ว แต่คสช.กลับไม่เคารพกฎหมายเสียเอง ใช้อำนาจเกินส่วน เหมือนคำพิพากษาของศาลไม่อยู่ในสายตา (เช่นนั้นถ้ารัฐแพ้คดีแต่ละคดีก็ใช้ ม.44 แก้หมดทุกคดี)

นอกจากนั้น การใช้มาตรา 44 อย่างพร่ำเพรื่อเป็นการใช้อำนาจที่ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 53 ที่บัญญัติไว้ว่า “รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด” ดังนั้นหากคสช. ใช้อำนาจและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนจริง สมาคมจำต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบมาตรา 51 นำข้อพิพาทนี้ยื่นฟ้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของ คสช.ดังกล่าว เป็นโมฆะ ขัดต่อมาตรา 53 ดังกล่าวหรือไม่ต่อไปด้วย

11 องค์กรสื่อเข้าหารือวิษณุ

ที่ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนสภาวิชาชีพสื่อมวลชน 11 องค์กร เข้าหารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ถึงร่างพ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง

จากนั้น นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการหารือมีประเด็นที่เห็นตรงกันคือต้องมีการปฏิรูปสื่อว่าควรเป็นรูปแบบใด หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะดำเนินการ ซึ่งเราจะติดตามและพร้อมเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ ยังหารือเรื่องสัดส่วนในสภาวิชาชีพ ว่าแต่ละประเทศมีรูปแบบอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาล ส่วนข้อกังวลเรื่องการขอ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อนั้น วันนี้ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาหารือ

ด้านนายปรเมศวร์ เหล็กเพชร นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศ ไทย เปิดเผยว่า ทราบว่า สปท. ส่งร่างกฎหมายมาให้รัฐบาลแล้ว โดยนายวิษณุระบุว่าจะขอรับฟังความเห็นต่างๆ จากองค์กรสื่อก่อนดำเนินการ โดยองค์กรสื่อยืนยันว่ากฎหมายที่จะออกมานั้น ต้องส่งเสริมการควบคุมกันเองของสื่อ มุ่งเน้นด้านจริยธรรม หากพบว่าสื่อสำนักใดกระทำความผิดทั้งในแง่กฎหมายและจริยธรรม ก็ต้องมีองค์กรกลางเข้ามาดูแล หรืออำนวยความสะดวกให้ประชาชนมีส่วนร่วมร้องเรียนได้ การหารือครั้งนี้เป็นการพูดคุยเบื้องต้นและจะต้องหารือกันอีก ทั้งนี้ วันที่ 26 มิ.ย. สมาคมฯจะพาตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพสื่อที่ควบคุมกันเองของประเทศสวีเดนและออสเตรเลีย มาร่วมหารือกับนายวิษณุด้วย เพื่อถ่ายทอดข้อมูลการควบคุมกันเองของสื่อให้รัฐบาลได้รับทราบ

บช.น.เข้มลานพระบรมรูป-24มิ.ย.

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พร้อมด้วยพล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองผบช.น.ดูแลงานด้านความมั่นคง พล.ต.ต. สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. รองผบก.น.1-9 เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายข่าวกองทัพภาคที่ 1 บช.ส. บก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ร่วมประชุมฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมดูแลความเคลื่อนไหวกลุ่มชุมนุมในวันที่ 24 มิ.ย. โดยใช้เวลาประชุม 1 ชั่วโมง 30 นาที

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้ รับรายงานว่าจะมีกลุ่มเคลื่อนไหวในกทม. ประมาณ 5 กลุ่มในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ มีนักวิชาการและนักศึกษาหลายฝ่ายจะจัดกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ ซึ่งกิจกรรมใดที่เคยดำเนินการเมื่อปีที่แล้วก็ยังดำเนินการได้ตามเดิม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้ แต่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าจะมีการทำความสะอาด มีดนตรีในช่วงเย็น โดยกิจกรรมที่ทำได้ อาทิ การถวายสักการะ ออกกำลังกายปั่นจักรยาน แต่ขอร้องไม่ให้ ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง หาก เข้ามาทำกิจกรรมทางการเมืองก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 สำหรับการจัดกำลังดูแลความปลอด ภัยบริเวณโดยรอบลานพระบรมรูปทรงม้า จะจัดกำลังตามปกติ ไม่ได้เข้มงวดเป็นพิเศษ

ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ว่า ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้จะเป็นนัดสุดท้ายของการไต่สวนพยาน ซึ่งตนได้ยื่นคำร้องต่อองค์คณะ ขอแถลงปิดสำนวนด้วยตนเองในวันดังกล่าว โดยจะชี้แจงสรุปคดีทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันสุดท้ายของการไต่สวน จากนั้นศาลจะนัดวินิจฉัยคดีนี้ตามขั้นตอนต่อไป

เวทีพิจารณ์บัตรทองวุ่นยันวันจบ

วันที่ 21 มิ.ย. ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาพิจารณ์ร่างพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ…. หรือพ.ร.บ.บัตรทอง กล่าวเปิดประชุมปรึกษาหารือสาธารณะว่า วันนี้นำประเด็นข้อเห็นด้วย เห็นต่าง และปัญหาต่างๆ ที่ได้จากการรับฟังความเห็นผ่านทางออนไลน์ และการประชาพิจารณ์ 4 ภาคนั้นมาถกกัน โดยผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบหลักประกันสุขภาพ ยืนยันว่าไม่มีการโหวต ไม่ตัดความเห็น ใครทิ้ง แต่จะส่งทั้งหมดนี้ให้คณะกรรมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ…. พิจารณาต่อ เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ระบบอนาถา ขอให้ช่วยกันเสนอมุมมอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ชี้แจงประเด็นและกระบวนการปรึกษาหารือเวทีสาธารณะ ปรากฏว่ามีตัวแทนภาคประชาชน 4-5 คนเดินออกมาหน้าเวที พร้อมตะโกนไม่ยอมรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เนื่องจากขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน จากนั้นตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ นำโดย นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ยื่นหนังสือถึงนายวรากรณ์ สามโกเศศ ประธานยกร่างพ.ร.บ.บัตรทอง ผ่านนพ.พลเดช โดยเรียกร้องให้นายวรากรณ์ลาออกจากประธานยกร่าง เนื่องจากไม่สนใจข้อเสนอแนะของเสียงข้างน้อย

นายนิมิตร์กล่าวว่า มี 4 ประเด็นที่เห็นตรงกันว่าควรแก้ไขพ.ร.บ.บัตรทอง 1.มาตรา 14 กรณีห้ามดำรงตำแหน่งสองคณะในเวลาเดียวกัน หมายถึงบอร์ดสปสช. และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพ 2.มาตรา 15 วาระกรรมการไม่เกิน 2 สมัย 3.มาตรา 29 รายได้ของสำนักงานไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และ 4.ยกเลิกมาตรา 42 เรื่องการไล่เบี้ยจากผู้ให้บริการ

นายนิมิตร์กล่าวว่า ส่วน 5 ประเด็นที่เห็นต่างคือ 1.นิยามของสถานบริการ ควรเพิ่มองค์กรเอก ชนที่ไม่แสวงหากำไรเข้าไปด้วย 2.ไม่เห็นด้วยในมาตรา 13 ที่เพิ่มสัดส่วนผู้ให้บริการเข้ามามาก รวมถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข 3.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 41 ควรเพิ่มการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ 4.มาตรา 46 เรื่องการแยกเงินเดือนออกจากงบรายหัว 5.มาตรา 48(8) ควรเพิ่มสัดส่วนงานคุ้มครองผู้บริโภคเข้าไปเป็นคณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนด้วย

นายนิมิตร์กล่าวว่า มี 7 ประเด็นเป็นข้อเสนอใหม่คือ 1.ให้บริการคนไทยทุกคนรวมถึงคนที่มีปัญหาสถานะ 2.แก้ไขมาตรา 9 ให้มีสิทธิประโยชน์หนึ่งเดียว 3.แก้ไขมาตรา 10 ให้มีสิทธิสุขภาพเดียวสำหรับทุกคน และรัฐต้องจ่ายสมทบ 4.แก้มาตรา 18 แยกอำนาจของคณะกรรมการในการจัดหายา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์แพทย์ 5.แก้มาตรา 26 ให้ตรวจสอบหน่วยบริการที่ไม่โปร่งใส 6.แก้มาตรา 47/1 ให้สนับสนุนองค์กรชุมชน องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรได้ และ 7.ให้ตัดบทเฉพาะกาลมาตรา 66 ออกทั้งหมด โดยให้สช.เปิดเวทีสมัชชาในเรื่องนี้โดยเร็ว

จากนั้นที่ประชุมได้ดำเนินการต่อไป กระทั่งเสร็จสิ้นการหารือ โดยนพ.พลเดชให้สัมภาษณ์หลังปิดการปรึกษาหารือว่า แม้ช่วงเช้าจะเกิดการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของภาคประชาชนจนสะดุดอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็รับฟังความเห็นกันต่อจนปิดประชุม ใช้เวลารวมกว่า 7 ชั่วโมง เนื้อหาสาระถือว่าครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ จากนี้จะประมวลความเห็นด้วย เห็นต่าง พร้อมเหตุผลส่งให้คณะกรรมการยกร่างภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ พร้อมกับแนบร่างพ.ร.บ. บัตรทองที่ภาคประชาชนยกร่างประกบไปด้วย

“ป้อม”มอบเงินช่วยผรท.ชุดสุดท้าย

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 มิ.ย.ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีมอบเงินช่วยเหลือ ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ในส่วนของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 (กอ.รมน.ภาค 1) จำนวน 294 คน โดยมี พล.อ.สสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ กอ.รมน.

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและช่วยเหลือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่าผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างพอเพียงตลอดมา ในนามของรัฐบาลตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ได้รับเงินช่วยเหลือในวันนี้จะได้นำเงินไปประกอบอาชีพสุจริตปฏิบัติตนเป็นคนดีของสังคม ด้วยจิตสำนึกความรับผิดชอบจงรักภักดีต่อชาติและตระหนักในบุญคุณของแผ่นดิน การช่วยเหลือครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หวังว่า ผรท.จะนำเงินไปตรวจสอบให้ตรงตามเจตนารมณ์ที่เราต้องการคือการดูแลครอบครัว ซึ่งมีตัวอย่างไว้ให้ดูแล้วว่าจะนำเงินไปใช้อะไร แต่ขอให้ใช้ในทางที่ถูก ส่วนกรณีทหารผ่านศึกอยากได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติมเหมือนของผรท. ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบของทหารผ่านศึกก็ได้รับการดูแล ส่วนจะเพิ่มการช่วยเหลือให้ทหารผ่านศึกหรือไม่นั้นต้องดูรายละเอียด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้ กอ.รมน.ได้มอบเงินช่วยเหลือค่าประกอบอาชีพสำหรับ ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยพร้อมกันทั่วประเทศ หลังคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 1,391,175,000 บาท ให้แก่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยครั้งสุดท้ายจำนวน 6,183 คน คนละ 225,000 บาท แบ่งเป็นพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 1 ตั้งจ่าย 2 แห่งคือ สโมสรทหารบก กทม. จำนวน 294 คน และกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี จำนวน 239 คน

ในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 2 ตั้งจ่าย 4 แห่ง คือกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา จำนวน 159 คน, ค่ายประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี จำนวน 395 คน, มณฑลทหารบกที่ 210 จ.นครพนม จำนวน 387 คน, ศาลากลาง จ.มุกดาหาร จำนวน 424 คน

พื้นที่ กอ.รมน.ภาค 3 ตั้งจ่าย 2 แห่งคือ มณฑลทหารบกที่ 38 จ.น่าน จำนวน 283 คน, มณฑลทหารบกที่ 310 จ.ตาก จำนวน 287 คน ส่วนพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 4 ตั้งจ่าย 3 แห่งคือ กองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 1,611 คน, มณฑลทหารบกที่ 45 จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 1,321 คน, กองพันทหารช่างที่ 402 จ.พัทลุง จำนวน 783 คน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน