“งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข” เป็นสำนวนหนังสือกำลังภายใน เอามาใช้ยุครักสัตว์อาจโดนข้อหาหมิ่นสุนัข แต่ความหมายคือ สิ่งดีงามไม่สามารถเกิดจากการกระทำสกปรก

ที่ไหนได้ คนไทยกำลังจะได้ทดลองระบบเลือกตั้งเยอรมัน (MMP) เพราะพรรครัฐบาล-ส.ว.ตู่ตั้ง กลัวว่าระบบคู่ขนาน (MMM) แบบรัฐธรรมนูญ 2540 จะทำให้พรรคเพื่อไทย “แลนด์สไลด์” จึงกลับหลังหัน เลี้ยวรถยีเอ็มซีตีโค้งลัดสนามหญ้า กระทั่งไพบูลย์ นิติตะวัน ยังเลี้ยวตามไม่ทัน

FC เพื่อไทยอาจมีทัศนคติไม่ดีต่อ MMP ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมเป็น “MMผี” ในรัฐธรรมนูญ 2560 และใช้เลือกตั้ง 62 รวมทั้งมีภาพจำว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้ไทยรักไทยชนะถล่มทลาย

แต่อันที่จริง ระบบ MMP มีข้อดีที่สะท้อนคะแนนเสียงประชาชนตรงความเป็นจริงและเป็นธรรมที่สุด อธิบายง่ายๆ คือ สมมติมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน หาร 500 ก็เท่ากับ 70,000 คะแนนได้ ส.ส. 1 คน โดยคำนวณจากคะแนนเลือกพรรค

พรรค A ได้ 14 ล้านคะแนน หรือ 40% ก็จะได้ “ส.ส.พึงมี” 200 คน ถ้าชนะ ส.ส.เขตไปแล้ว 187 คนก็จะได้ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม 13 คน พรรค B ได้ 1.75 ล้านคะแนนหรือ 5% พึงได้ ส.ส.25 คน แต่ได้ ส.ส.เขตแค่ 4 คน ก็จะได้ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม 21 คน

ถ้าเทียบกับ MMM (ซึ่งบวรศักดิ์ก็ตัดต่อจากเยอรมัน) ส.ส.เขตใครชนะได้ไปเลย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์คำนวณจาก 35 ล้านหารด้วย 100 พรรค A ก็จะได้ ส.ส.187+40=227 คน พรรค B จะได้ ส.ส.4+5=9 คน

MMP จึงสะท้อนคะแนนประชาชนได้ตรงที่สุด เหมาะกับสังคมสมัยใหม่ที่มีความคิดต่างหลากหลาย เปิดโอกาสให้พรรคทางเลือก ยกตัวอย่าง พรรค C ส่งคนรุ่นใหม่ ไม่มีผู้สมัคร “บ้านใหญ่” ไม่มีเงินหาเสียง ได้คะแนนรวมทั้งประเทศ 8% ส.ส.เขตแพ้หมด ถ้าเป็น MMM ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 8 คน แต่ถ้าเป็น MMP ได้ 40 คน

กระนั้นในมุมกลับกัน ก็แย้งได้ว่า MMP ไม่เหมาะกับประเทศรัฐราชการเป็นใหญ่ MMM ช่วยสร้างระบบพรรคการเมืองใหญ่เข้มแข็ง

ยิ่งกว่านั้นแม้ MMP เป็นงาช้าง “หาร 500” แบบไทยๆ ก็ไม่ใช่เยอรมัน โดนตัดต่อพันธุกรรมมา 2 รอบ เช่นระบบ “MMผี” ไม่แยกคะแนนพรรคจากตัวบุคคล ไม่กำหนดคะแนนขั้นต่ำ (เยอรมันต่ำกว่า 5% สอบตกหมด) แต่มีสูตรคำนวณเศษมนุษย์

เยอรมันไม่กำหนด ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ตายตัว เพราะถ้าเกิด Overhang แบบเพื่อไทยได้ ส.ส.เขตเกินพึงมีเมื่อปี 62 เขาก็จะเพิ่มจำนวน ส.ส.ทั้งสภาให้ได้สัดส่วนกัน

“หาร 500” ครั้งนี้ก็ไม่กำหนดขั้นต่ำ น่ากลัวจะใช้สูตรพรรคเศษได้ก่อนอีก การกำหนด ส.ส.เขต 400 ปาร์ตี้ลิสต์ 100 แล้วคำนวณแบบ MMP มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ลงตัว แบบปริญญา เทวานฤมิตรกุล ทดลองใช้สูตรนี้คำนวณคะแนนปี 54 พบว่าจะมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ถึง 138 คน

ประเด็นสำคัญมันจึงไม่ใช่ หาร 500 ไม่ดี หาร 100 ดีกว่า แต่อยู่ที่การกลับไปกลับมาเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ

การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น “บัตรสองใบ 400-100” การแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง ล้วนปูทางตั้งอกตั้งใจจะหาร 100 แบบรัฐธรรมนูญ 2540 จนกระทั่ง 1-2 วัน ก่อนลงมติวาระสอง จึงส่งสัญญาณกลับหลังหัน อยากทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า กระบวนการวิปริต

วิปริตตั้งแต่ตอนแก้รัฐธรรมนูญเมื่อปีที่แล้ว ส.ว.ไม่รับร่างพลังประชารัฐ+เพื่อไทย ซึ่งแก้ไขระบบเลือกตั้งทุกมาตรา ไพล่ไปรับร่างประชาธิปัตย์ ซึ่งแก้ไม่ครบ ทำให้เกิดปัญหาตีความ จะใช้บัตรสองใบเบอร์เดียวก็ไม่ได้

ตอนนั้นพรรคก้าวไกลก็รณรงค์ให้ใช้ระบบ MMP แต่ไม่มีใครเอา แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่า MMM ทำให้พรรคไทยรักไทย-เพื่อไทย ได้ ส.ส.มากเกินสัดส่วนคะแนนนิยม

คนที่เสนอแก้ก่อนคือพรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนั้นเป็นปึกแผ่น “ป้อม-แป้ง” เรืองอำนาจ ระบบ MMM ทำให้ “พรรคใหญ่กว่าได้เปรียบ” ไม่ใช่ “เพื่อไทยได้เปรียบ” แต่พอพลังประชารัฐแตกเป็นกระบิ มันก็กลายเป็น “เพื่อไทยได้เปรียบ” ทันที แล้วก็เขียนด้วยมือลบด้วยส้นเท้า

นี่เป็นปรากฏการณ์ทุเรศทุรัง ไร้จุดยืน ทำตามใบสั่ง เพราะพูดจริงๆ พรรคการเมืองที่จะได้ประโยชน์ (อย่างเป็นธรรม) คือบรรดาพรรคเล็ก พรรคกลาง พรรคย่อม แบบก้าวไกล ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย พรรคกล้า สร้างอนาคตไทย

ดังนั้นการที่พรรคเล็กดิ้นพล่านก็ใช่แล้ว เป็นประโยชน์ของเขา แต่ทำไมพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ยกมือเป็นฝักเดียวกัน

“หาร 500” แม้อาจเป็นระบบที่ดีกว่า แต่เมื่อมาจากหญ้าพิษ ก็จะวุ่นวายสับสน ถ้าผ่านศาลรัฐธรรมนูญไปถึงเลือกตั้ง กกต.รับกรรม คำนวณไม่ลง คำนวณเศษ ระวังรองเท้าปลิวว่อน

แล้วถ้าไม่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ? ก็ยุ่งไปอีก เพราะเป็นข้ออ้าง ยุบสภาไม่ได้ไม่มีกฎหมายเลือกตั้ง หรือถึงเดือนมีนา 66 กฎหมายยังไม่ผ่านจะทำไง เผลอๆ จะมีการตีความว่า สภาหมดอายุแล้วแต่ให้ประยุทธ์อยู่ไปก่อน

อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ร่างกฎหมายผ่านกรรมาธิการจนจะจบอยู่แล้ว กลับมาพลิกใน 2 วัน

ประเทศนี้เชื่อกติกากฎหมายไม่ได้เลย พลิกได้ตามอำเภอใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน