การพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มความมั่งคั่งให้ประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแนวคิด ที่แต่เดิมมุ่งพัฒนาจากศูนย์กลาง ต้องปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ในการพัฒนาเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้จัดเวทีระดมสมองแลกเปลี่ยนความคิด ภายใต้โครงการ ‘KKU Public Policy Advocacy Forum 2022’ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ โดยได้มีผู้ร่วมงาน อาทิ ตัวแทนพรรคการเมือง และหน่วยงานต่างๆ มาร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

รศ.ดร.พีรสิทธิ์ คำนวณศิลป์ คณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น ม.ขอนแก่น กล่าวว่า ระยะเวลาที่ผ่านมา วิทยาลัยฯ ได้ทำการศึกษาและวิจัยการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทย พ้นจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

จากการวิจัยพบว่า ช่วง 60 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยใช้ทฤษฎี ‘น้ำหยดรินจากที่สูง’ มาเป็นกรอบในการดำเนินการ โดยให้กลุ่มที่มีความพร้อมหรือมีความมั่งคั่งเป็นหลักในการขับเคลื่อน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ จึงทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนสถานภาพ จากประเทศที่มีรายได้ต่ำ มาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

ปัจจุบัน นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์มหภาค มีความวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจของไทยอาจไม่เพียงแต่ จะย่ำอยู่กับที่ แต่อาจถดถอย เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ โดยต้องกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนถิ่นมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น

ด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวเพิ่มเติมว่า พันธกิจสำคัญของ ม.ขอนแก่น คือ การสร้างและเผยแพร่ รวมถึงการส่งเสริมให้มีการนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาและทำวิจัย นำไปต่อยอด จนกำหนดเป็นแนวทางในการบริหารด้านนโยบายสาธารณะ โดยกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณะ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน และเป็นส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในประเทศต่อไป

ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นายกสภา ม.ขอนแก่น กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในท้องถิ่น ทำไมจึงไม่พัฒนาเหมือนกับต่างประเทศ โดยกล่าวว่า ผลจากการบริหารราชการแบบรวมศูนย์ของไทย ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า ข้อจำกัดด้านโครงสร้างการปกครองแบบรวมอำนาจ เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมาก

รัฐบาลกลางเป็นผู้มีหน้าที่หลักในการตัดสินใจ และกำหนดรูปแบบการบริการสาธารณะ โดยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเพียงผู้จัดทำหรือให้บริการสาธารณะ และมีอำนาจตัดสินใจ ในการจัดทำการบริการสาธารณะเพียงบางเรื่องเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทย ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานรากได้อย่างแท้จริง

สำหรับตัวแบบที่น่าจะเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากของประเทศไทย Prof. Bruce Gilley จาก Portland State University สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย จะมีประสิทธิภาพ ในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เมื่อเป็นผู้ตามมากกว่าเป็นผู้นำ โดยให้การริเริ่มสร้างสรรค์กับภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะไม่ทราบเลยว่า การบริการและอุตสาหกรรมใดในท้องถิ่นของตนนั้นมีข้อได้เปรียบ หากไม่ติดตามธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และกระแสธุรกิจใหม่ๆ ในท้องถิ่น

การพัฒนาเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุด จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาล สนับสนุนความคิดริเริ่ม ของภาคเอกชน ซึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า บทเรียนด้านความรู้จากท้องถิ่น อีกทั้งบุคลากรที่รับผิดชอบการพัฒนา เศรษฐกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำเป็นต้องสานสัมพันธ์ที่ดีกับภาคเอกชนในท้องถิ่น

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจนั้น จะต้องเริ่มต้นจากท้องถิ่น โดย Dr. Andrey Timofeev จาก Georgia State University ได้เผยผลการวิจัยและการศึกษาค้นคว้าเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเป็นประสบการณ์จากต่างประเทศ โดยกล่าวว่า งานวิจัยนี้ได้เน้นศึกษาผลกระทบของนโยบายที่อิงอยู่กับสถานที่ โดยเป็นแนวปฏิบัติพิเศษในการจัดเก็บภาษี กฎระเบียบ ข้อบังคับ และสภาพแวดล้อมการลงทุนโดยรวม เฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น

ดังเช่นกรณีตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา หรือในประเทศจีน แม้ว่าในประเทศที่รัฐบาลกลางเป็นผู้ดำเนินนโยบาย แต่โดยธรรมชาติแล้วนั้น ประเทศเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันคือ มุ่งเน้นไปที่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีจำกัด เนื่องจาก รัฐบาลกลางต้องการทดลองใช้นโยบายให้มั่นใจ ก่อนจะเผยแพร่ไปยังภูมิภาคอื่นๆ ในประเทศ

ตัวแบบทางนโยบายที่ได้จากการค้นคว้าวิจัยและการขับเคลื่อนข้อเสนอ สู่การเปิดหน้าต่างนโยบาย (Policy Windows) ในระดับสถาบันการเมือง โดย ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลังสาธารณะ และ ผศ.ดร.กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์ นักวิชาการด้านการปกครองท้องถิ่นและการคลังท้องถิ่น ได้อธิบายว่า จากการสำรวจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 72 แห่ง ใน 28 จังหวัดของไทย โดยศึกษาศักยภาพขององค์กรฯ ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก ทำให้สามารถแบ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามระดับศักยภาพด้านงบประมาณ การหาแหล่งทุน และความร่วมมือทางด้านการเงิน โดยแบ่งออกเป็นหลายระดับ เช่น

กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้สูง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ดีเป็นทุนเดิม มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ และมีผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีทีมงานบริหารที่เข้มแข็ง รวมไปถึงข้าราชการประจำ ที่พร้อมสนับสนุนการทำงานอย่างเต็มที่

กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้สูง มีสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแรง แต่ภาพรวมขององค์กรมีลักษณะที่อยู่ตัวแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องดิ้นรน หรืออาจเกิดจากการผูกขาดทางการเมือง ไร้คู่แข่ง ทำให้ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ เนื่องจากขาดแหล่งท่องเที่ยวหรือจุดดึงดูดนักลงทุน ประชาชนต้องออกไปแสวงหาทำงานที่อื่น ไม่มีสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น แต่ผู้นำองค์กรและทีมงาน มีความตั้งใจและพยายามที่จะแสวงหาแหล่งทุน หรือโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ โดยผู้นำท้องถิ่น และข้าราชการในพื้นที่ ยังมีความคิดที่จะรอคอยความช่วยเหลือจากภายนอกเพียงอย่างเดียว ไม่พยายามดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง และขาดโอกาสที่จะแข่งขันกับภายนอก

การเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากพรรคการเมือง ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงนักวิชาการ ได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนและกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ทำให้มองเห็นว่า ภาครัฐจำเป็นต้องมุ่งพัฒนา บทบาทหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีหน้าที่หลักในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้สังคมท้องถิ่นมีความน่าอยู่ เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และที่สำคัญประชาชนในพื้นที่ ก็จะได้รับผลของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อีกด้วย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://fb.watch/dMVetx1ZNC/

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน