ม็อบปักหลักทำเนียบ ต้านโรงไฟฟ้ากระบี่ ตร.แปะหมายศาลไล่ บิ๊กตู่ไม่สน สั่งเดินหน้า ระบุเพื่อทดแทนพลังงานที่อาจขาดแคลน แถมต้องศึกษาล่าช้ามากว่า 2 ปี ขอคนต่อต้านอย่าสร้างความขัดแย้ง ต้องเข้าใจความมั่นคงทางพลังงานด้วย ด้านม็อบโวยรัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่เคารพ สิ่งแวดล้อม ด้านเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ นัดประชุมหน้ามัสยิดกลางปัตตานี พร้อมเคลื่อนไหวคัดค้าน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ก่อนเปิดเผยว่า ที่ประชุม กพช. อนุมัติดำเนินการโรงงานไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด ที่ จ.กระบี่ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2550 อยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความคุ้มค่า ปลอดภัย รัฐบาลใช้มาตรการที่เหมาะสม ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ไปแล้ว 2 ปี ซึ่งเสียเวลาไป 2 ปีแล้ว จึงเป็นการปลดล็อกให้ดำเนินการได้ แต่ว่าจะสร้างได้เมื่อไรอย่างไรค่อยว่ากัน

“กลุ่มที่มาต่อต้านอย่าสร้างความขัดแย้ง ต้องเข้าใจเรื่องความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้ไฟฟ้าเราอาจจะเพียงพอ แต่ปัญหาของภาคใต้คือ มีอัตราการเจริญเติบโต การใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นกว่าทุกภาค แต่แหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้ามีน้อยกว่าทุกภาค ไม่เพียงพอ ต้องสร้างเพิ่ม ด้วยหลักการ และเหตุผลของความคุ้มค่า ความปลอดภัย และเป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่”นายกฯ กล่าว

ขณะที่เครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนใต้ ออกแถลงการณ์คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและกระบี่ โดยระบุว่า นโยบายการผลักดันให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทยทั้งที่กระบี่และเทพา รวมถึงที่อื่นๆ ตามแผน PDP2015 นับเป็นนโยบายที่มีความไม่สอดคล้องกับกระแสการพัฒนาเพื่อ สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความต้องการของประชาชน แต่เป็นนโยบายที่เกิดจากความต้องการพัฒนาประเทศไปสู่อุตสาหกรรมหนัก และมีแนวโน้มที่การผลักดันดังกล่าวมี ผลประโยชน์ทับซ้อนและการคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่อยู่เบื้องหลัง

พื้นที่ชายแดนใต้มีลักษณะพิเศษ มีอัตลักษณ์และอุดมคติของการพัฒนาที่แตกต่างจากระบบทุนนิยมสุดโต่ง การผลักดันโรงไฟฟ้าถ่านหินและอุตสาหกรรมมลพิษ ย่อมกระทบกับ สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตอย่างที่ไม่ควรจะเป็น และยังจะเป็นภัยแทรกซ้อนที่สำคัญยิ่งที่จะสร้างความแตกแยกและบั่นทอนการเดินทางสู่สันติภาพของชายแดนใต้เพราะความรู้สึกที่ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการที่รัฐบาลเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหิน เสมือนการวางยาให้กับสันติภาพที่กำลังงอกงาม

หากรัฐบาลอนุมัติให้มีการเดินหน้า โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ หรือโรงใดโรงหนึ่ง ทางเครือข่ายจะ ยกระดับการเคลื่อนไหวเพื่อการคัดค้านความไม่เป็นธรรมและหายนภัยที่จะมากระทำกับพื้นที่อย่างถึงที่สุด โดยเครือข่ายจะนัดหมายให้มีการชุมนุมใหญ่ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อประกาศถึงความไม่เป็นธรรมให้กับสาธารณชนได้รับทราบ และร่วมกันกำหนดการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องชายแดนใต้และอันดามันต่อไป

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน และเครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา และอ.เหนือคลอง จ.กระบี่ นำโดยนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ และม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร พร้อมด้วยเครือข่ายกว่า 200 คน ชูธงและป้ายเป็นข้อความต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อาทิ คนกระบี่ไม่เอาถ่านหิน และปกป้องชาติด้วยการปฏิเสธถ่านหิน เป็นต้น

ต่อมาเวลา 13.30 น. หลังจากที่กลุ่ม เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ทราบ ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบาย แห่งชาติ(กพช.) ที่ให้เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ นายประสิทธิ์ชัยได้นำมวลชนที่รวมตัวกันบริเวณศูนย์บริการประชาชนมารวมตัวบริเวณประตู 2 เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ และร้องตะโกน “ชาวกระบี่ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่เอาทรราช” พร้อมปักหลักนั่งชุมนุมคัดค้าน

นายประสิทธิ์ชัยกล่าวหลังจากทราบผลการประชุม กพช. ที่มีมติเดินหน้าโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ว่าเป็นที่ชัดเจนที่รัฐบาลทหารละเลยความถูกต้องที่ควรจะเกิดขึ้นแก่ระบบไฟฟ้าของประเทศ ความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม และชีวิตของประชาชน โดยเลือกที่จะสนับสนุนกลุ่มทุนฟอสซิล หรือถ่านหิน แทนที่จะสนับสนุนทุนท้องถิ่นให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทน หรือพลังงานหมุนเวียนจากปาล์มน้ำมัน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ฟังเสียงประชาชน รัฐบาลไม่เคารพสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจท้องถิ่น และสุขภาพของประชาชน

“แกนนำตัดสินใจจะปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลไม่กลับบ้าน เพื่อรอดูว่ารัฐบาลจะทนกับการที่ประชาชนมารวมตัวหน้าทำเนียบรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้นานแค่ไหน เราจะชุมนุมจนกว่ารัฐบาลจะสั่งยุติโครงสร้างก่อสร้าง จึงขอให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมารวมตัวกันเพื่อคัดค้าน เพราะการตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน แต่เอื้อแก่กลุ่มทุนมาโดยตลอด และกำลังทำลายสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าการบริหารงานของรัฐทำเงินประเทศหายไปกว่า 4 แสนล้านบาท” นายประสิทธิ์ชัยกล่าว

จากนั้นเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น.เดินทางมาพูดคุยกับแกนนำปกป้องอันดามันจากถ่านหิน เพื่อขอความร่วมมือจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่บนถนน บริเวณประตู 2 ฝั่งสะพานชมัยมรุเชฐ ซึ่งเป็นเส้นทางที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีใช้สำหรับผ่านเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ให้ย้ายไปชุมนุมบนทางเท้าและศูนย์บริการประชาชนฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เพื่อเปิดทาง เนื่องจากใกล้เวลาที่นายกฯจะเดินทางกลับ

ระหว่างการพูดคุย ขบวนรถของพล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กำลังเคลื่อนผ่านบริเวณดังกล่าว เพื่อออกจากทำเนียบรัฐบาล ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนตะโกนโห่ไล่เนื่องจากคิดว่าเป็นขบวนรถของนายกรัฐมนตรี จน เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศย้ำขอความร่วมมือ พร้อมกับตั้งแถวโอบล้อมกลุ่มผู้ชุมนุมและผลักดันให้ย้ายออกจากถนน ไม่ให้กีดขวางเส้นทางจราจรถนนพิษณุโลก จนเกิดความชุลมุนขึ้น ผู้ชุมนุมบางส่วนยื้ดยุดฉุดกระชากกับเจ้าหน้าที่จนมีปากเสียงกัน

ต่อมาเวลา 15.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ออกมายืนส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่บันไดตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลโดยเลี่ยงไปใช้เส้นทางสะพาน อรทัย เป็นทางออก เพื่อเดินทางกลับบ้านพักเช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร และพล.อ. อนุพงษ์ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอย่างเข้มงวด โดยนายกฯ ไม่ได้เผชิญหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมที่ปิดถนนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามถือเป็นการกลับบ้านเร็วกว่าทุกครั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปกติจะกลับเวลาประมาณ 16.30-17.30 น.

เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน้าประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เชิงสะพาน ชมัยมรุเชฐ เกิดเหตุชุลมุน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศขอคืนพื้นที่การชุมนุม ทำให้ประชาชนกว่า 200 คนที่ชุมนุมต่างไม่พอใจ เกิดผลักดันกันไปมา มีชายฉกรรจ์แต่งชุดนอกเครื่องแบบ สวมแว่นตาดำ ประมาณ 5-7 คน เข้ามาประกบนายประสิทธิ์ชัย พยายามอุ้มตัวออกจากพื้นที่ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมกรูกันเข้าไปชิงตัวคืนมาได้

เวลา 19.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมของเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิต ได้นำหมายศาลมาแปะที่หน้าประตูทำเนียบ ฝั่งถ.พิษณุโลก โดยคำสั่งศาลแพ่งระบุว่านัดไต่สวนคำร้องห้ามชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ เวลา 09.30 น.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน