ชายไต้หวันวัย 30 ปี มีอาการเท้าเหม็นมาก ทายาไม่หาย ไปคลินิก ช็อกเท้าเป็นรู หมอเผยสาเหตุ-วิธีรักษาง่ายๆ
ฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนมักทำให้เหงื่อออกมากกว่าปกติเสมอพร้อมทั้งเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น กลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัว หนังศีรษะมันเยิ้ม หรือกลิ่นเท้า โดยเฉพาะในวันที่ฝนตกยิ่งควรเช็ดเท้าให้แห้งเพื่อป้องกันเท้าเหม็น อย่างไรก็ตาม นพ. เฉิน หยู่ฉง แพทย์ผิวหนังได้แบ่งปันกรณีการเข้ารับการรักษาในแฟนเพจเฟซบุ๊ก 陳昱璁皮膚科醫師
ตามรายงาน ผู้ป่วยชายวัย 30 ต้น ๆ มีปัญหากลิ่นเท้ารบกวน ทันทีที่เขาถอดรองเท้า กลิ่นเหม็นรุนแรงจนสามารถได้กลิ่นกันทั่วคลินิก ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเข้าพบแพทย์ก็บอกอาการของตนเองว่า “หมอ เท้าของผมเหม็นมากจนแม้แต่ผมก็ทนไม่ได้ แม้แต่ใช้ยาฮ่องกงฟุตก็ไม่ช่วย ผมควรทำอย่างไรดี”
หลังจากการตรวจสอบ นพ. เฉิน หยู่ฉงเหลือบมองที่เท้าของผู้ป่วย พร้อมถามว่า “ปกติคุณเหงื่อออกมากไหม” คนไข้ตอบทันทีว่า “ใช่ ๆ เพราะผมเพิ่งโอนไปเป็นวิศวกรเคเบิลเมื่อไม่นานมานี้ และมักจะสวมรองเท้ายางที่ อากาศอัดอั้นมาทั้งวัน อาการมีแต่จะแย่ลง”จากนั้น แพทย์พบว่าผู้ป่วยมีอาการฝ่าเท้าลอกเป็นบริเวณกว้าง “มีรูจำนวนมากที่เท้าราวกับแมลงกัดต่อย” แต่จริง ๆ แล้วคือ “กลุ่มอาการถุงเท้าพิษ” ซึ่งรักษาไม่ยาก หลังจากพูด สีหน้าของคนไข้ที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง
นพ. เฉิน หยู่ฉง อธิบายว่า โรคถุงเท้าพิษ (Toxic Sock Syndrome) หรือที่เรียกว่า Pitted keratolysis ซึ่งโรคดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเชื้อราที่ทำให้เกิดฮ่องกงฟุต แต่เป็นเพราะรองเท้าที่ระบายอากาศไม่ได้ ทำให้ฝ่าเท้าอยู่ในสภาพชื้นและร้อนจนเกิดแบคทีเรียกลุ่มคอรีนีฟอร์มหรือไมโครคอคคัสบางชนิดอยู่บนเท้าพร้อมเพิ่มจำนวนและผลิตน้ำย่อย ซึ่งจะไปทำลายรูที่สร้างโดยผิวหนังของเท้า ดังนั้นฝ่าเท้าจะมีลักษณะเป็นรูหรือหลุมเล็ก ๆ
โดยผู้ที่มีโอกาสเกิดโรคนี้สูง ได้แก่ ทหาร, ตำรวจ, นักกีฬา, นักเรียน, นักศึกษา, ผู้ที่สวมใส่รองเท้าที่ใส่เป็นระยะเวลานาน และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีเหงื่อออกง่าย ทั้งนี้ แพทย์อธิบายว่า “กลุ่มอาการถุงเท้าเป็นพิษ? ทำไมถึงเหม็นได้มากขนาดนั้น เพราะกลิ่นเกิดจากโปรตีเอสของแบคทีเรียที่ย่อยสลายผิวหนังของเท้า ซึ่งจะผลิต “ซัลไฟด์”
กลิ่นซัลไฟด์ทั่วไปจะเหมือนกำมะถันตามธรรมชาติ อาหารเน่าเสีย และกลิ่นถังแก๊สที่ปล่อยลม เป็นต้น มนุษย์ค่อนข้างไวต่อซัลไฟด์ซึ่งสามารถได้กลิ่นจากระยะไกล และเป็นไปได้ว่าแม้แต่สวมรองเท้าก็อาจไม่สามารถกันกลิ่นได้ทั้งหมด พร้อมทั้งอาจเหม็นอับกว่าเดิม
นพ. เฉิน หยู่ฉง กล่าวว่า การรักษากลุ่มอาการถุงเท้าพิษนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทาครีมปฏิชีวนะสำหรับใช้ภายนอกเป็นหลัก เช่น clindamycin หรือ erythromycin eye ointment ในกรณีผู้ป่วยรายนี้รักษาด้วยครีมทาภายนอก หากทายาไม่ได้ผล ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานจะถูกนำมาใช้เพื่อรักษาผิวหนัง ซึ่งจะยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ผิวหนัง และจะไม่มีกลิ่นตามธรรมชาติ
นอกจากนี้ นพ. เฉิน หยู่ฉง ยังให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มักมีกลิ่นเท้าในชีวิตประจำวัน
- ทำให้เท้าแห้งเป็นครั้งคราว เช่น สวมรองเท้าที่ระบายอากาศได้ดีและถุงเท้าผ้าฝ้ายที่ซับเหงื่อได้ดี หรืออาจนำถุงเท้าเปลี่ยนระหว่างวัน
- ใช้ระงับเหงื่อ แป้งโรยในรองเท้า
- หลังจากอาบน้ำ ออกกำลังกาย หรือเปียกฝน ให้รีบเช็ดฝ่าเท้าให้แห้ง
หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าจะแยกโรคถุงเท้าพิษจากโรคฮ่องกงฟุต (Athlete’s foot. หรือ Hong Kong foot) ได้อย่างไร โดยลักษณะผิวหนังของกลุ่มอาการถุงเท้าพิษจะมีหลุมเล็ก ๆ จำนวนมาก ส่วนอาการหลักของโรคฮ่องกงฟุตหรือน้ำกัดเท้า คือ ผิวหนังลอก เดิมคือการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอย่างหลังเป็นเชื้อราจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก และแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณที่มาจาก 陳昱璁皮膚科醫師