ไม่ขอไปอีก เปิดใจสาวติด ตม.เกาหลี เจอถามยิบ ตื่นกี่โมง-ข้าว 3 มื้อจะกินอะไรบ้าง งงตอบได้หมด แต่ไม่ผ่าน เสียทั้งเงิน-ความรู้สึก
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์แชร์คำถามของ ตม.เกาหลีในกลุ่ม “กลุ่มคนชอบตะลอนเที่ยวเกาหลี” ซึ่งเป็นคำถามที่ถูก ตม.เกาหลีซักถามก่อนจะไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และถูกส่งตัวกลับไทย โดยพีกเจอขอเช็กไลน์ และเฟซบุ๊ก
สำหรับความคืบหน้า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.67 น.ส.อีฟ เจ้าของโพสต์ เปิดเผยกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ ว่า ตนและเพื่อนจะเดินทางไปเที่ยวเกาหลี เมื่อวันที่ 16 ก.พ.67 เวลาประมาณ 23.00 น. ไปถึงเกาหลีใต้ประมาณ 06.00 น. เมื่อไปถึงคนก็ค่อนข้างเยอะ โดยตนและเพื่อนก็เดินเข้าไปต่อแถวตม. แต่แถวนั้นค่อนข้างยาว ตนเลยเปลี่ยนแถวไปเป็น ตม.ผู้ชาย ข้างๆ แถวของเพื่อน แรกๆ เขาก็ให้ผ่าน
แต่พอด่านถัดมา ตนก็เห็น ตม.เริ่มมีการยกพาสคนก่อนหน้าตน 3-4 คน คาดว่าน่าจะเป็นคนไทยทั้งหมด แต่ตนก็ใจดีสู้เสือเพราะมาเที่ยวจริงๆ พอถึงตาของตนจึงพยายามทักทายเป็นภาษาเกาหลีด้วยท่าทางที่เป็นมิตรที่สุด แต่เจ้าหน้าที่ตม.คนดังกล่าวกลับทำหน้าแสยะใส่ จากนั้นถามว่ามากี่วัน มากับใคร ตนก็บอกว่า 4 วัน 3 คืน มากับเพื่อนที่ผ่าน ตม.ไปแล้ว
จากนั้นตม.ให้ตนเขียนชื่อเพื่อน ซึ่งจำชื่อเพื่อนได้ เพราะเป็นคนลง keta จองตั๋ว จองโรงแรมให้เพื่อนทั้งหมด ตนก็เขียนไปเป็นภาษาอังกฤษ แต่เจ้าหน้าที่ตม.คนดังกล่าวบอกว่าชื่อนี้ไม่มีผ่านออกไป จากนั้นเขาก็ยกพาสเลย และมีเจ้าหน้าที่ผู้ชายพาตนไปห้องเย็น และให้หย่อนพาสปอร์ตรอเรียก ซึ่งตนทำใจมาตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่าอาจโดนเข้าห้องเย็นแน่ ต่อมามีเจ้าหนาที่มาเรียกตนไปสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม และถามคำถามทั่วไป ซึ่งตนก็ตอบคำถามได้หมดและมีเอกสารยืนยันพร้อม
ต่อมาเจ้าหน้าที่ให้ตนกรอกเอกสารข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการมาเกาหลีใต้ว่ามาทำอะไร มาเที่ยวบินไหน และมีช่องให้เซ็นยินยอมให้ตรวจเช็กโทรศัพท์มือถือได้ ก่อนจะเชิญตนไปในห้อง และจากที่ตนอ่านรีวิวมาเยอะว่า เวลาเข้าห้องเย็นห้ามพูดคุยกับใครทั้งสิ้น เพราะอาจทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกัน ตนจึงนั่งอยู่คนเดียว และบอกเพื่อนให้ไปรอที่ร้านกาแฟสัก 2 ชั่วโมง และให้เพื่อนหยิบกระเป๋าเดินทางไปให้ด้วย แต่หยิบไปได้แค่ใบเดียว เพราะอีกใบมีอุปกรณ์คล้ายที่ล็อกกระเป๋าติดไว้อยู่ และมีเสียงสัญญาณดังขึ้นด้วย
จากนั้นมีเจ้าหน้าที่มาเรียกตนไป โดยรอบนี้มีล่ามอยู่ด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ตม.ก็เริ่มถามตนด้วยคำถามทั่วไป เช่น ทำไมถึงมาที่นี่ มากับใคร? กี่คน ตอนนี้เพื่อนอยู่ที่ไหน มาอยู่กี่วัน พักโรงแรมอะไร? แถวไหน? ยื่นเอกสารจองโรงแรม ตั๋วไป-กลับ? มาวันไหน? กลับวันไหน? สายการบินอะไร? เวลากลับขึ้นเครื่องกี่โมง
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าตนตอบได้ เขาก็จะเริ่มถามคำถามลึกขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทำงานอะไร? ตำแหน่งอะไร? ทำมากี่ปี? เงินเดือนเท่าไหร่? ตนก็ตอบไปพร้อมยื่นเอกสารให้ดู จากนั้นก็ถามต่อว่า วันนี้ตนจะไปไหน? ตนก็ตอบว่าไปย่านกังนัม และไปห้าง Coex และวัดพงอึนซา ซึ่งตม.ก็ถามย้ำวัดอะไรนะ ตอบชื่อวัดไม่ได้เหรอ ไม่รู้เหรอว่าชื่ออะไร แต่ตนก็ย้ำบอกว่า พงอึนซา ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม
ระหว่างตอบคำถาม ล่ามก็ย้ำกับตนว่า ห้ามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จนกว่าเจ้าหน้าที่จะสั่ง กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตม.บอกให้ตนไปหยิบโทรศัพท์มา เพื่อขอเช็กโทรศัพท์ และเปิดดูไลน์ เฟซบุ๊ก และกูเกิลว่าตนเสิร์ชอะไรบ้าง จากนั้นถามตนต่อว่า จากสนามบินเดินทางไปโรงแรมอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ ต่อรถไฟสายไหน ค่ารถกี่บาท รถประเภทอะไร เดินออกช่องทางไหน คุณจองตั๋วเครื่องบินมากี่บาท จองตั๋วเครื่องบินผ่านช่องทางไหน คุณจองโรงแรมมากี่บาท? ผ่านช่องทางไหน? จ่ายเงินแล้วใช่ไหม โรงแรมเช็กอินกี่โมง?
เช็กเอาต์กี่โมงแล้วจะมากินอะไร? ซึ่งตนก็ตอบได้ เพราะเป็นติ่งอาหารเกาหลี และยังถูกถามต่อว่าจะนอนกี่โมง พรุ่งนี้จะตื่นกี่โมงและไปไหนต่อ? ซึ่งตนสามารถตอบคำถามได้หมด เพราะเป็นคนหาข้อมูล วางแผน อ่านข้อมูลการเดินทางไปที่ต่างๆ จองตั๋ว จองโรงแรมเองหมด แม้แต่ยอดเงินก็ตอบได้ว่าจ่ายไปเท่าไหร่
ก่อนที่คำถามปิดจบบทสนทนาที่ว่า มาอยู่ 3 วัน คุณคิดไว้หรือไม่ว่า มื้อเช้า กลางวัน มื้อเย็น จะไปกินร้านอาหารร้านไหน ซึ่งตนตอบว่าเจอร้านไหนน่ากินก็แวะเลย ไม่เคยมาลอง กินได้ทุกร้าน และจะกินสตรีทฟู้ดด้วย ตม.เกาหลีตัดจบว่า โอเค สรุปว่าคุณยังไม่พร้อมเข้าประเทศเรา ไม่มีความพร้อมมากพอ? เราขอปฏิเสธการเข้าประเทศ พร้อมยื่นเอกสาร ใบยินยอม ซึ่งตนไม่ยอม ขอร้องว่ามาเที่ยวจริงๆ เอกสารมีครบ “ฉันไม่ได้มาทำงาน ฉันดูเหมือนคนมาทำงานเหรอ” ตนเลยย้อนถาม คุณตอบได้เหรอ? บอกไปแล้วกินอะไรก็กินได้?
ก่อนเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจะตอบกลับมาว่า ถ้าเขามาไทย? จะตอบได้หมดว่ากินร้านไหนที่ไหนยังไงในทุกมื้อ สุดท้ายตนไม่ยอม ขอยื่นอุทธรณ์ให้เหตุผลไปอย่างละเอียด เพราะตนเป็นติ่งเกาหลี อยากจะมาเที่ยวสักครั้ง จนถึงช่วง 18.00 น. ของเกาหลีใต้ ก็มีสายโทร.มาบอกว่าตนยื่นอุทธรณ์ไม่ผ่าน ตอนนั้นจิตตกมาก จึงไฟต์ไปว่ายังไงก็จะต้องกลับเช้าวันที่ 18 ก.พ. และต้องไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายตนก็ได้กลับ ในขณะที่หลายคนมาก่อนตน แต่ไม่ยอมสู้ก็ยังคงต้องรอต่อไป
ต่อมาวันที่ 19 ก.พ. ตนเดินทางไปสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย พร้อมเล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟังว่าเจอเหตุการณ์เช่นนี้ และถามว่ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกตนว่า ไม่รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งตนก็พยายามถามว่าไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยหรือ ตนต้องการร้องเรียน เพื่อให้เสียงของเราไปให้ถึงหน่วยงานต่างๆ ก็ไม่ได้หรือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบว่า ใช่ค่ะ
จึงถามว่าแล้วจะทำยังไงได้บ้าง เจ้าหน้าที่จึงนำเบอร์โทรต่างประเทศ ซึ่งน่าจะให้ติดต่อกับทางเกาหลี และตนต้องเสียเงินโทร.ออกนอกประเทศเองหรือ พอถามว่ามีโทรศัพท์ให้โทร.ไหม ก็บอกว่า ไม่มี ทั้งยังไม่ได้แนะนำอะไรเลย มีแต่แจ้งว่าเราทำอะไรไม่ได้ เป็นสิทธิของ ตม.เกาหลีที่จะส่งคนกลับ ตนจึงต้องกลับบ้านทั้งอย่างนั้น
สุดท้ายนี้ตนเสียความรู้สึกมากๆ จากการที่เจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง และยังไปเจอภาพคนไทยที่ไปแล้วไปนั่งร้องไห้ เพราะตนไม่ได้เตรียมใจว่าจะถูกส่งตัวกลับ เพราะคนรอบข้างตน หรือคนในกลุ่มตะลอนเที่ยวเกาหลีหลายคนก็ผ่านตม.ไปได้ คืนนั้นตนถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนไข้ขึ้น พอกลับมาไทยก็ซึมกินข้าวไม่ลง
ยอมรับว่าพอมาเจอกับตัวเองแบบนี้ รู้สึกว่าเหมือน ตม.เกาหลีใต้กำลังกลั่นแกล้งคนไทยจริงๆ เพราะคำถามที่เกินความจำเป็น อีกทั้งยังเสียเงิน 30,000 กว่าบาทไปเปล่าๆ อีกทั้งยังเสียวันลางาน ที่ตนนำเรื่องราวมาแชร์ เพราะนอยด์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และอยากแชร์ให้คนที่อยากไปเกาหลีเหมือนตน เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เลย และตนคงไม่ไปเกาหลีใต้อีกแล้ว แค่รอบนี้ก็เกินทนแล้ว
แต่ทั้งนี้มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ทักมาขอสัมภาษณ์ตน เพื่อนำไปทำวิทยานิพนธ์ เรื่องแบนเกาหลีจากคนที่ถูก ตม.เกาหลีปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาก็ไม่เข้าใจ ตม.ประเทศเขาเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น นักท่องเที่ยวนำเงินไปให้ ใช้เกณฑ์อะไรในการคัดคน เพราะขนาดตนมีหน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง เตรียมข้อมูลไปรอบคอบ ก็ยังไม่รอด