สงครามปะทุ สหรัฐ นำอังกฤษ-ฝรั่งเศสถล่มซีเรียแล้วยิงโทมาฮอว์ก-สตอร์มชาโดว์ บอมบ์ เป้าหมายคลังอาวุธเคมีกว่าร้อยลูก ซีเรียพร้อมพันธมิตรใหญ่รัสเซียออกโรงประณามทันที โวยิงสอยร่วงเกือบ 70 ลูก ยูเอ็นชี้สงครามเย็นกลับมาแล้ว วอนอดกลั้นหลีกเลี่ยงการลุกลาม หวั่นสร้างความทุกข์ยากให้ประชาชนชาวซีเรียมากไปกว่าที่เป็นอยู่ พร้อมเรียกร้องให้คณะมนตรีฯ ยูเอ็น ร่วมเจรจาตั้งคณะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าการโจมตีด้วยอาวุธเคมีที่เมืองดูมาเป็นฝีมือใคร อิหร่านจี้สหรัฐ-พันธมิตรรับผิดชอบผลกระทบที่จะตามมา “นาโต้-เยอรมัน-อียู” หนุนชาติพันธมิตร ชี้ภารกิจตอบโต้ซีเรียเหมาะสม ทรัมป์ปลื้มปฏิบัติการสำเร็จสมบูรณ์แบบแล้ว

สหรัฐ-พันธมิตรเปิดฉากถล่มซีเรีย

เมื่อวันที่ 14 เม.ย. บีบีซีรายงานว่า กองทัพสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษและฝรั่งเศส เปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีเป้าหมายที่คาดว่าเป็นคลังเก็บอาวุธเคมีของกองทัพซีเรียในประเทศซีเรียแล้ว แม้ที่ผ่านมาทางการรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรของซีเรียขู่ว่าอาจก่อให้เกิดสงครามครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียก็ตาม ขณะที่นาย อันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสห ประชาชาติ หรือยูเอ็น ระบุว่าสงครามเย็นกลับมาแล้วด้วยความอาฆาตแค้นและกลไกของยูเอ็นที่มีเพื่อใช้ป้องกันสงครามซึ่งเคยมีอยู่ในอดีตไม่มีอยู่อีกต่อไป

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า ปฏิบัติการทางทหารร่วมกันระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เริ่มขึ้นแล้ว “เป้าหมายการโจมตีของเราคือแสนยานุภาพทางเคมีของกองทัพซีเรีย เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานการป้องปรามต่อการผลิตและแพร่หลายการใช้อาวุธเคมี ซึ่งถือเป็นการกระทำของอสุรกาย มิใช่มนุษย์” พร้อมย้ำว่าทางการสหรัฐพร้อมดำเนินการต่อเนื่องจนกว่ารัฐบาลซีเรียจะยุติการใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือน

ขณะที่นางเธเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติการโจมตีทางทหาร และยืนยันว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย

โทมาฮอว์กถล่มพุ่งเป้าอาวุธเคมี

พล.อ.โจเซฟ ดันเฟิร์ด ประธานเสนาธิการกองทัพสหรัฐ กล่าวในการแถลงข่าวที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือเพนตากอน ว่า การโจมตีของสหรัฐมีเป้าหมายหลัก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์วิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในกรุงดามัสกัสซึ่งมีความเกี่ยวโยงกันกับอาวุธเคมีที่ใช้โจมตีพลเรือนที่เมืองดูมา แคว้นกูตาตะวันออก เป้าหมายถัดมาคือคลังเก็บอาวุธเคมีทางตะวันตกของแคว้นฮอมส์ และอีกเป้าหมายคือโรงงานประกอบอาวุธเคมี หนึ่งในที่มั่นของกองทัพซีเรียในแคว้นเดียวกัน

พล.อ.ดันเฟิร์ดระบุว่า การโจมตีของสหรัฐและชาติพันธมิตรออกแบบมาเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อความเสียหายของกองทัพรัสเซียในซีเรีย แต่ยืนยันว่าทางสหรัฐไม่ได้แจ้งเตือนการโจมตีดังกล่าวให้กับทางการรัสเซียทราบล่วงหน้า เชื่อว่าการโจมตีระลอกแรกที่จบลงไปแล้วนั้นจะส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวไปยังทางการซีเรียได้แน่นอน

แหล่งข่าวจากภายในกองทัพสหรัฐระบุว่า การโจมตีครั้งนี้กองทัพสหรัฐใช้อาวุธหลักเป็นขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ซึ่งเป็นขีปนาวุธแบบร่อนหรือจรวดครุยส์

ขนาดโจมตี 2 เท่าของปีก่อน

ขณะที่นายเจมส์ แม็ตทิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ระบุว่าภารกิจโจมตีระลอกแรกเสร็จสิ้นแล้วโดยสหรัฐและพันธมิตรไม่มีการสูญเสีย ส่วนขนาดของการโจมตีในครั้งนี้ใหญ่เป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งกองทัพสหรัฐใช้จรวดครุยส์ยิงตอบโต้การใช้อาวุธเคมีของทางการซีเรียที่หมู่บ้านข่าน ชีกคุน เมื่อเดือนเม.ย. 2560 มีผู้เสียชีวิตกว่า 80 ราย ครั้งนั้นสหรัฐใช้ขีปนาวุธโทมาฮอว์กไป 59 ลูก ราคาลูกละประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 31 ล้านบาท สอดคล้อง กับรายงานจากเดลี่เมล์ของอังกฤษ ระบุว่าสหรัฐและชาติพันธมิตรเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ 120 ครั้ง ขณะที่ซีเอ็นเอ็น สถานีข่าวในอเมริกา ระบุว่ามีเรือพิฆาตสหรัฐอย่างน้อย 1 ลำ ซึ่งลอยลำอยู่ในทะเลแดง และเครื่องบินทิ้งระเบิดความเร็วเหนือเสียง บี-1 เข้าร่วมด้วย

ด้านกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษระบุว่า กองทัพอังกฤษเข้าร่วมการโจมตี โดยใช้ฝูงบินรบยูโร ไฟเตอร์ ไทฟูน 4 ลำ ปล่อยขีปนาวุธทำลายคลังเก็บอาวุธเคมีทางตะวันตกของแคว้นฮอมส์ ส่วนประธานาธิบดีเอมมานูแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ระบุว่า กองทัพฝรั่งเศสร่วมโจมตีพร้อมกับสหรัฐและอังกฤษเช่นกัน “ชายหญิงและเด็กถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยอาวุธเคมี ถือว่าทางการซีเรียล้ำเส้น” ประธานาธิบดีมาครงกล่าว

อังกฤษยิงสตอร์มชาโดว์บึ้มรง.เคมี

เดอะซันรายงานว่า กระทรวงกลาโหมอังกฤษประกาศความสำเร็จในภารกิจโจมตีร่วมกับสหรัฐและฝรั่งเศส โดยฝูงบินทิ้งระเบิดรุ่น จีอาร์ 4 ทอร์นาโด เข้าโจมตีโรงงานดังกล่าวเหนือหุบเขาคาสซุนในกรุงดามัสกัสจนเกิดไฟลุกท่วมท้องฟ้าเป็นทะเลเพลิง การโจมตีเริ่มขึ้นในเวลาตีสองตาม เวลาท้องถิ่นของอังกฤษ ฝูงบินดังกล่าวใช้ขีปนาวุธรุ่นสตอร์ม ชาโดว์ ซึ่งเป็นจรวดพิสัยไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร ทำให้ฝูงบินของอังกฤษอยู่ในระยะปลอดภัยจากระบบต่อต้านอากาศยานทั้งของรัสเซียและซีเรีย

กระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุว่าข่าวกรองและข้อมูลจำนวนมากบ่งชี้ว่าทางการซีเรียเป็นผู้รับผิดชอบต่อการโจมตีพลเรือนด้วยอาวุธเคมีที่เมืองดูมา ลักษณะพฤติกรรมเช่นนี้จำเป็นต้องหยุดยั้ง ปฏิบัติการโจมตีของทางการอังกฤษนั้นถือว่าเหมาะสม เพราะเล็งเป้าหมายไปที่แสนยานุภาพทางเคมีของกองทัพซีเรียโดยเฉพาะ และป้องปรามการนำอาวุธดังกล่าวมาใช้อีกในอนาคต

พล.อ.กาวิน วิลเลียมสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอังกฤษ กล่าวว่าการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองดูมาเป็นอีกข้อบ่งชี้หนึ่งถึงความชั่วร้ายของทางการซีเรียที่กระทำต่อประชาชนของตัวเอง “อังกฤษจะไม่ยอมทนนิ่งเฉยขณะที่พลเรือนผู้บริสุทธิ์ เด็กและ สตรีต้องถูกสังหารและทุกข์ทรมาน บัดนี้ประชาคมโลกตอบโต้อย่างเด็ดขาดบนหลักการแห่งกฎหมายด้วยการใช้กำลังทหาร อย่างเหมาะสม ขอให้มาตรการตอบโต้ของประชา คมโลกในครั้งนี้เป็นสัญญาณที่กระจ่างชัดไปยังรัฐบาลซีเรียว่าการใช้อาวุธเคมีนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และผู้อยู่เบื้องหลังจะต้องถูกนำตัวมารับโทษ” พล.อ.วิลเลียมสันระบุ

ซีเรียโวสกัดจรวด13ลูก-รัสเซียฮึ่ม!

ขณะที่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในซีเรียเผยนาทีถล่ม และอ้างว่ากองทัพซีเรียสามารถยิงสกัดขีปนาวุธได้ราว 13 ลูก พร้อมประณามการกระทำของสหรัฐว่า ละเมิดข้อบังคับสากลอย่างร้ายแรง และระบุว่าการโจมตีของสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส จะต้องล้มเหลว ขณะที่รายงานขีปนาวุธโจมตีศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงดามัสกัสและฐานทัพรอบๆ เมืองหลวง ขีปนาวุธที่ยิงถล่มใส่คลังอาวุธเมืองฮอมส์นั้นถูกซีเรียยิงสกัดไว้ได้ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งอยู่ในกรุงดามัสกัสระบุว่าได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องอย่างน้อย 6 ครั้ง บนฟากฟ้าเต็มไปด้วยความโกลาหล และจรวดที่ยิงมาส่วนใหญ่ถูกยิงสกัดไว้ได้ โดยฝ่ายซีเรียยิงขีปนาวุธต่อต้านขีปนาวุธขึ้นไปบนฟ้ากว่า 20 ลูก นอกจากนี้ทางการรัสเซียออกแถลงการณ์ว่าสหรัฐจะต้องเผชิญผลลัพธ์จากการกระทำในครั้งนี้

นายอนาโตลี แอนโทนอฟ ระบุว่า “เป็นอีกครั้งที่รัสเซียถูกข่มขู่ เราขอเตือนว่าสหรัฐจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งนี้ เพราะการโจมตีดังกล่าวของประธานา ธิบดีทรัมป์ ถือเป็นการเหยียดหยามประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และไม่ถูกต้อง” และว่าสหรัฐในฐานะผู้ที่มีอาวุธเคมีไว้ในครอบครองมากที่สุดในโลกไม่มีความชอบธรรมที่จะกล่าวโทษชาติอื่นในเรื่องอาวุธเคมี

รัสเซียเผยสหรัฐยิงครุยส์ 103 ลูก

ขณะที่สถานีข่าวของซีเรีย ประณามการ กระทำของสหรัฐว่าละเมิดข้อบังคับสากลอย่างร้ายแรง และระบุว่าการโจมตีของสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส จะต้องล้มเหลว ส่วนกระทรวงกลาโหมของรัสเซียยืนยันว่ากองทัพรัสเซียยังไม่ได้ใช้ระบบต่อต้านขีปนาวุธ รุ่น เอส-300 และเอส-400 หนึ่งในระบบต่อต้านขีปนาวุธและอากาศยานที่ทันสมัยที่สุดในโลกซึ่งติดตั้งไว้ในซีเรียเพื่อสกัดกั้นขีปนาวุธของสหรัฐและชาติพันธมิตร

ฝ่ายรัสเซียระบุอีกว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรใช้จรวดครุยส์ 103 ลูก ในการโจมตีที่เกิดขึ้น ในจำนวนนี้มีหลายลูกโดนระบบต่อต้านอากาศยานของกองทัพซีเรีย สกัดไว้ได้ 71 ลูก รวมไปถึงจรวดครุยส์ 12 ลูก ที่พุ่งตรงไปยังฐานทัพอากาศของซีเรีย ถูกสกัดไว้ได้ทั้งหมดโดยกองทัพซีเรีย และไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตต่อทั้งพลเรือนและทหารของกองทัพซีเรีย พร้อมระบุจะพิจารณาขายระบบต่อต้านอากาศยานและขีปนาวุธรุ่น เอส-300 ซึ่งมีความทันสมัยและร้ายกาจให้กับซีเรียด้วย

ยูเอ็นชี้สงครามเย็นกลับมาแล้ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังผู้นำสหรัฐ ผู้นำอังกฤษ และผู้นำฝรั่งเศส เห็นพ้องต่อภารกิจตอบโต้การใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือนในเมืองดูมา แคว้นกูตาตะวันออก มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย บาดเจ็บจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีผู้มีอาการว่าโดนแก๊สคลอรีนกว่า 500 คน ซึ่งยืนยันแล้วจากคณะผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานกลางที่เพิ่งลงพื้นที่ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด แต่ทางการสหรัฐและชาติพันธมิตรระบุว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย อยู่เบื้องหลังการโจมตี ก่อให้เกิดการถกเถียงและโทษกันไปมาอย่างดุเดือด

นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ หรือยูเอ็น กล่าวว่า “สงครามเย็นกลับมาแล้ว ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้สมาชิกยูเอ็นทุกประเทศอดกลั้นต่อสถาน การณ์อันตรายที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ และหลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆ ที่จะส่งผลให้สถานการณ์ลุกลามและสร้างความทุกข์ยากให้ประชาชนชาวซีเรียไปมากกว่าที่เป็นอยู่” พร้อมกล่าวประณามการใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือนว่าถือเป็นสิ่งชั่วร้ายเพราะความทรมานที่เกิดขึ้นนั้นเหี้ยมโหดมาก

นอกจากนี้ เลขาฯ ยูเอ็น ยังย้ำความสำคัญของการปฏิบัติตามข้อบังคับสากลและระเบียบข้อบังคับของยูเอ็น พร้อมเรียกร้องให้คณะมนตรีฯ ยูเอ็น ร่วมกันเจรจาและตกลงกันให้ตั้งคณะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าการโจมตีด้วยอาวุธเคมีที่เมืองดูมานั้นเป็นฝีมือของฝ่ายใดกันแน่

รัสเซียประณามสหรัฐ-ชี้ล้มเหลว

วันเดียวกัน รัสเซียเรียกประชุมฉุกเฉินคณะมนตรีฯ ยูเอ็น และประณามการกระทำของสหรัฐและชาติพันธมิตรอย่างเกรี้ยวกราดว่า รัสเซียขอประณามสหรัฐอย่างรุนแรงต่อการเปิดปฏิบัติการทางทหารต่อรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของซีเรีย ซึ่งรัสเซียสนับสนุนภารกิจปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าถือเป็นการคุกคามชาติที่มีอธิปไตยชาติอื่น

เช่นเดียวกันกับทางการซีเรียที่ประณามว่าเป็นการคุกคามที่รุนแรงจากสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับสากลอย่างร้ายแรง พร้อมยืนยันว่าภารกิจโจมตี ดังกล่าวล้มเหลวและเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ตราบใดที่ผู้นำซีเรียยังคงอยู่ในอำนาจ

ส่วนอิหร่านเตือนว่าสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส จะต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะตามมาในภูมิภาค

นาโต้-เยอรมันหนุนชาติพันธมิตร

ด้านพล.อ.เจนส์ สโตลเต็นเบิร์ก เลขาธิ การองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้ กล่าวสนับสนุนภารกิจทางทหารของชาติพันธมิตร ระบุว่าจะส่งผลให้รัฐบาลซีเรียมีขีดความสามารถในการใช้อาวุธเคมีโจมตีต่อพลเรือนลดลง

เช่นเดียวกันกับกระทรวงการต่างประเทศตุรกี ที่แสดงความยินดีต่อปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส ว่าเป็นการเยียวยาสำนึกในคุณธรรมหลังเหตุโจมตีที่เมืองดูมา

สอดคล้องกับนางแองเกล่า แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่ระบุว่า ภารกิจทางทหารที่เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้ที่เหมาะสมแล้ว ขณะที่นายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป หรืออียู ระบุว่าอียูพร้อมยืนเคียงข้างชาติพันธมิตรและความยุติธรรม

ทรัมป์ปลื้มโจมตีสมบูรณ์แบบ

เอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของกองทัพสหรัฐในภารกิจโจมตีเป้าหมายแสนยานุภาพทางอาวุธเคมีของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด บริเวณกรุงดามัสกัส และปริมณฑลในซีเรีย พร้อมขอบคุณทางการอังกฤษและฝรั่งเศส ที่ร่วมโจมตีในปฏิบัติการดังกล่าว ขณะที่การรายงานผู้บาดเจ็บเสียชีวิตนั้น กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่าไม่พบพลเรือนชาวซีเรียและทหารในกองทัพรัสเซียได้รับผล กระทบ ส่วนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี เปิดประชุมอีกครั้งเพื่อหารือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังรัสเซียขอเปิดประชุมฉุกเฉินเพื่อเรียกร้องให้สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส แสดงความรับผิดชอบ

ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตว่า “เมื่อคืนนี้โจมตีได้สมบูรณ์แบบมาก ขอบคุณอังกฤษกับฝรั่งเศส สำหรับความรู้ความสามารถและแสนยานุภาพของกองทัพ ไม่มีผลลัพธ์ไหนจะดีกว่านี้ไปอีกได้แล้ว ภารกิจสำเร็จสมบูรณ์”

จีนค้านถล่มซีเรียหวั่นปัญหาลาม

ด้านนางหัว ชุนอิง โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศจีน ในฐานะหนึ่งในห้าสมาชิกคณะมนตรีฯ ยูเอ็น แถลงว่า จีน ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังทางทหารในการแก้ปัญหาของสหรัฐและชาติพันธมิตร การโจมตีที่เกิดขึ้นนั้นยิ่งทำให้เงื่อนไขในการแก้ปัญหาสงครามซีเรียเพิ่มมากขึ้น จีนเชื่อมั่นว่าการเจรจาอย่างสันติเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาซีเรียอย่างแท้จริง

วันเดียวกัน นางเธเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เผชิญกับความไม่พอใจจากบรรดาสมาชิกพรรคฝ่ายค้านหลังเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินและออกคำสั่งให้กองทัพอังกฤษเข้าร่วมภารกิจโจมตีซีเรียร่วมกับสหรัฐและฝรั่งเศสโดยไม่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

ไร้เจ็บเหตุซีเรียสั่งอพยพล่วงหน้า

การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงกลางดึก เวลาประมาณ 01.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นซีเรีย (ตรงกับเวลา 07.00 น. เช้าวันที่ 14 เม.ย. ตามเวลาประเทศไทย) ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศให้การโจมตีเริ่มขึ้น เช่นเดียวกันกับผู้นำอังกฤษและทางการฝรั่งเศส โดยคณะผู้สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนในซีเรียของอังกฤษระบุว่าศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์และฐานทัพซีเรียได้รับคำสั่งให้อพยพผู้คนออกทั้งหมดแล้วก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้นล่วงหน้าถึง 3 วัน หลังผู้นำสหรัฐเคยทวีตว่าจะโจมตีซีเรีย ขณะที่ประชาชนชาวซีเรียบางส่วนในกรุงดามัสกัสออกมาแสดงพลังสนับสนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน