ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องปล่อยชั่วคราว ‘อานนท์-เพนกวิน-สมยศ-หมอลำเเบงค์’ ชี้ความผิดอัตราโทษสูง ปล่อยไปกลัวเกิดความเสียหาย-หลบหนี

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

เมื่อวันที่ 15 ก.พ.64 ศาลอาญาอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ ในคำร้องที่น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยในคดี อ.286/2564 พร้อมด้วยนายพงษ์สิทธิ์ นาเมืองรักษ์ ทนายความของนายพริษฐ์ นายอานนท์ นำภา, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ ,นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร จำเลยในคดี อ.287/2564 เดินทางมายื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวของศาลอาญา คดีที่กลุ่มจำเลยถูกพนักงานอัยการส่งฟ้องข้อหาตามความผิด ม.112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา จากคดีการชุมนุม 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง

โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในคำร้องทั้ง 3 สำนวน ประกอบด้วยสำนวน อ.286/2564 ที่มีนายพริษฐ์ เป็นจำเลย สำนวนนี้ ศาลให้เหตุผลว่าพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูงการกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

นอกจากนี้ยังปรากฎพฤติการณ์ของจำเลยว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันในคดีอื่นอีก เมื่อพิจารณาประกอบคำคัดค้านของพนักงานอัยการโจทก์แล้วกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีกและน่าเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง

ส่วนสำนวนที่ 2 คือสำนวนที่287/2564 ที่มี 2 คำสั่งในส่วน นายนายพริษฐ์ นายอานนท์ เเละนายสมยศ เเละสำนวนของนายปติวัฒน์ โดยทั้ง 3 สำนวนศาลให้เหตุผลในทำนองเดียวกันสรุปว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูงการกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยทั้งหมดปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและมีลักษณะชักนำประชาชนให้ล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน

นอกจากนี้ยังปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ในคดีอื่นอีก ส่วนจำเลยที่ 4 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด ในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถูกจับกุมตามหมายจับกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยที่ 1,2 เเละ4 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีกและน่าเชื่อว่าจำเลย 1,2เ เละ4 อาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย 1,2 เเละ 4ในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง

ส่วนจำเลยที่ 3 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 3 ถูกจับกุมตามหมายจับ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยที่ 3 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีกและน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 อาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 3 ในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน