หยุด!! ทำร้ายตัวเอง สูบบุหรี่ เหมือนเผาปอด

หยุด!! ทำร้ายตัวเอง สูบบุหรี่ เหมือนเผาปอด – อากาศบริสุทธิ์ เป็นสิทธิที่ร่างกายควรได้รับ ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยผจญกับปัญหา ฝุ่น PM2.5 อย่างหนัก ทั้งจากการเผาป่า มลพิษทางอากาศจากการ เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ทำให้คนไทยหันมาตื่นตัวป้องกันตัวเองด้วยหน้ากาก และตระหนักว่าต้องช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อเรียกร้องอากาศดีกลับคืนมาเพื่อตัวเองและลูกหลาน

หยุด!! ทำร้ายตัวเอง สูบบุหรี่ เหมือนเผาปอด

แล้วกับ “บุหรี่” ผลิตภัณฑ์ที่สร้าง PM2.5 โดยตรง และยังมีสารพิษอีกจำนวนมาก มีงานวิจัยยืนยันว่าก่อผลกระทบ และโรคภัยไข้เจ็บมากมาย นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องหันมาหยุดทำร้ายตัวเอง และคนรอบข้างด้วยบุหรี่

31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก นับเป็นวันสำคัญของการทำให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงภัยของบุหรี่ ซึ่งปี 2562 นี้ มาในแนวคิด “บุหรี่เผาปอด” เนื่องจากการสูบบุหรี่ส่งผลกระทบต่อโรคทางปอดมากที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง และวัณโรค ดังนั้นเพื่อรณรงค์เพิ่มความตระหนักของประชาชนในเรื่องของพิษภัย และอันตรายต่อสุขภาพของการใช้ยาสูบและการได้รับควันบุหรี่ มือสอง และเพื่อลดการใช้ยาสูบของประชาชนในทุกๆ รูปแบบ

กว่า 10 ล้านคน หรือ 19% กว่า ของประชากรที่ยังไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้

หลากหลายสาเหตุที่คนหนึ่งคนยังไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ แม้ว่าจะรู้ถึงพิษภัยที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบุหรี่มีสารเสพติดที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเสพซ้ำเรื่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งที่เลิกไม่ได้หากใจไม่เข้มแข็งพอ

ด้วยผลกระทบและพิษภัยของบุหรี่ ทำให้ช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีความจริงจังในการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อทำให้ประชากรเลิกบุหรี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางภาษี มาตรการช่วยเหลือเลิกบุหรี่ มาตรการสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยกับ ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ จึงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ บุหรี่ นั้นถูกพิสูจน์ว่าก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

4 ล้านคนทั่วโลก คือ ตัวเลขที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ หรือวันละ 11,000 คน ถ้าสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ผู้สูบบุหรี่จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 3 เท่าของคนที่ไม่สูบบุหรี่ และบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ 19 โรค

ในบุหรี่มีสารเคมีกว่า 7,000 ชนิด และมากกว่า 70 ชนิดเป็นตัวก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

เมื่อรับสารเคมีจากบุหรี่เข้าไปในร่างกาย จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ

นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คุณหมอเจ้าของแนวคิด “คลินิกฟ้าใส” คลินิกให้บริการเลิกบุหรี่ สนับสนุนโดย สสส. ให้ความรู้ในฐานะหมอที่ต้องดูแลคนไข้ที่เจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่มายาวนาน โรคจากการสูบบุหรี่นั้น เป็นโรคที่เกิดหลังจากพฤติกรรมเสี่ยงของตัวเองยาวนาน 10-20 ปี หลายคนเลยไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่โรคจากบุหรี่นั้น เป็นโรคที่เมื่อเกิดผลกระทบแล้วจะย้อนกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ รักษาไม่หาย

รศ.นพ.สุทัศน์บอกอีกว่า ควันจากบุหรี่มวนแบบดั้งเดิม มีความร้อนถึง 600 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า 6 เท่าของน้ำเดือด ขณะที่บุหรี่ไฟฟ้าแม้จะบอกว่าความร้อนน้อยกว่า ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ก็ยังร้อนถึง 300 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนระดับนี้หรือเกิน 100 องศาเซลเซียส ก็สามารถเข้าไปเผาทำลายเซลล์เยื่อบุการหายใจ ทั้งเซลล์เยื่อบุหลอดลม และเซลล์เยื่อบุผนังถุงลมได้แล้ว ทำให้ปอดแต่ละข้างที่มีถุงลม 2-4 ล้านอันเกาะติดกัน โดยมีผนังของถุงลมที่ยึดโยงเป็นตาข่ายหรือใช้ผนังร่วมกัน เมื่อเกิดการฉีกขาดจะทำให้โบ๋และถูกทำลายไปเรื่อยๆ จึงเกิดโรคถุงลมโป่งพอง หรือเรียกว่าเป็นบุหรี่เผาปอด ยิ่งสูบก็ยิ่งไหม้ ถุงลมยิ่งถูกทำลายไปเรื่อยๆ

คนไข้หลายรายเมื่อล้มป่วย ไม่ได้ป่วยแค่คนเดียว แต่กระทบไปถึงครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อผู้ชายเป็นเสาหลัก เมื่อป่วยก็ทำงานไม่ได้ ภรรยาต้องออกจากบ้านไปหางานทำแทน บางบ้านลูกยังเรียนไม่จบ ก็หมดอนาคตทางการศึกษาเพราะไม่มีเงินเรียนต่อ ต้องออกมาช่วยทางบ้านหาเงินรักษา และค่าใช้จ่ายกินอยู่ในชีวิตประจำวัน กลายเป็นโดมิโน่ ล้มคนเดียวก็ล้มไปทั้งบ้าน

คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยจากบุหรี่ โดยเฉพาะถุงลมโป่งพอง หลอดลมอุดกั้น มะเร็ง จะใช้ชีวิตด้วยการเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ต้องใช้เงินละเดือนเป็นค่ายาจำนวนมาก และยิ่งใช้มากขึ้นเมื่อโรคลุกลาม บางรายมาโรงพยาบาลทุก 2-3 วัน สุดท้ายก็กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ใส่ท่อช่วยหายใจรอวันสิ้นลม ทรมานนับเดือน นับปี

สิ่งที่ตามมา เรื่องคุณภาพชีวิต และสภาพทางจิตใจ คนป่วยถุงลมโป่งพอง ร้อยละ 70 มีโรคซึมเศร้าแทรกด้วย เพราะจากคนที่สามารถช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง เดิน ทานข้าว เข้าห้องน้ำเอง จะต้องกลายเป็นคนที่พึ่งพาคนอื่นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางครั้งแค่ยกช้อนเข้าปากเองยังทำไม่ได้เพราะเหนื่อยมาก

ปอด เป็นสิ่งที่เมื่อเสียหายไปแล้ว เกิดขึ้นถาวร ลองนึกภาพว่าถุงลมเล็กๆ หลายล้านถุง ในปอดทำงานไม่ได้ หายใจเข้าก็ไม่พอง หายใจออกก็ไม่ได้ สภาพจะเหมือนคนจมน้ำแบบนั้น

“ภาพที่หมอเห็นบ่อยครั้ง คือ คนไข้ถุงลมโป่งพองระยะสุดท้าย ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ บางรายนอนในโรงพยาบาล 3 เดือน ก่อนที่จะตาย โดยที่รู้ตัวทุกลมหายใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องคาบท่ออยู่ตลอดเวลา ลูกคนไข้เคยบอกว่า ทนเห็นพ่อทรมานแทบไม่ไหว เจ็บปวดแทน ทุกครั้งที่มาข้างเตียง พ่อยกมือชี้ท่อช่วยหายใจ ขอให้เอาออก ไม่ไหว ทรมาน แต่ในทางการแพทย์ไม่สามารถเอาออกได้โดยทันที ต้องจากไปตามกระบวนการธรรมชาติ”

เคสล่าสุดของหมอ คนไข้เป็นถุงลมโป่งพองระยะสุดท้าย เพิ่งเสียชีวิตไป คนไข้เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล เข้าห้องฉุกเฉิน แก้ไขภาวะหลอดลมตีบ ทุก 3-4 วัน สุดท้ายมาใส่ท่อช่วยหายใจที่โรงพยาบาลในไอซียู สลับกับเอาออกเมื่ออาการดีขึ้น คนไข้บอกว่า หลังถอดท่อรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่สูบบุหรี่ จะได้ไม่ทรมานขนาดนี้ ไม่ต้องรบกวนลูก เมีย ผลาญเงินทองที่ทำมาหากินมาตลอดชีวิต ไม่อยากตายอย่างทรมาน แต่สุดท้าย คนไข้ก็จากไปด้วยอาการเสมหะติดคอ เพราะคนไข้ไม่มีแรงไอออกมา

“หมอไม่อยากเห็นให้ใครเอาชีวิตมาเสี่ยงกับโรคปอดที่เกิดจากบุหรี่ ทุกครั้งที่จุดไฟสูบ ก็เหมือนจุดไฟเผาชีวิตตัวเอง และกำลังเผาชีวิตคนที่คุณรักไปด้วย การสูบบุหรี่ไม่ต่างจากการก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในบ้านเราเอง เพราะผลกระทบไม่ใช่คนเดียว เมื่อเราป่วย คนในบ้านก็เดือดร้อนไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง รายได้ครัวเรือน อยากให้คนสูบบุหรี่คิด ทุกครั้งที่จุดบุหรี่ไม่ได้เผาทำลายเนื้อปอดตัวเอง แต่ทำลายครอบครัวด้วย”

 

อนาคตของเรา เราเลือกได้ ว่าจะจบแบบไหน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน