เข้าใจพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีน : คอลัมน์รู้ไปโม้ด

โดย : น้าชาติ ประชาชื่น

[email protected]

นักท่องเที่ยวจีน : น้าชาติ อยากได้คำอธิบายเรื่องนี้ นักท่องเที่ยวจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมาก แต่ก็มีปัญหามาก จุดพอดีอยู่ตรง ไหนคะ

นางน้อย

ตอบ นางน้อย

เริ่มจากการทำความเข้าใจให้กับตัวเราเองก่อน ขอยกอรรถาอธิบายของ ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาสรุปความเป็นคำตอบเพื่อสร้างความเข้าใจ ดังนี้

บทความนี้เห็นว่าสิ่งที่พึงทำในเบื้องต้นก็คือ การทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีน ว่าเหตุใดจึงมีพฤติกรรมที่ก่อปัญหาเช่นนั้น ทั้งนี้ เห็นว่าหากเข้าใจถึงพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว เชื่อว่าน่าจะมองหาหนทางที่จะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

ที่มาของพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนที่จะกล่าวต่อไปนี้ว่ากันให้ถึงที่สุดแล้วก็คือ พฤติกรรมของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เฉพาะ ไม่เกี่ยวกับชาวจีนในที่อื่นๆ เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง หรือผู้มีเชื้อสายจีนแต่มีสัญชาติอื่น (เช่น ชาวไทยเชื้อสายจีน) และเมื่อหมายถึงจีนแผ่นดินใหญ่แล้วก็ย่อมเป็นชาวจีนกว่า 1,350 ล้านคน จำนวนที่มากมายมหาศาลเช่นนี้จึงย่อมหมายความไปด้วยว่ามิใช่ชาวจีนทั้งหมดที่มีพฤติกรรมเช่นที่เราเห็น

ที่สำคัญ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ว่านี้คือชาวจีนในยุคคอมมิวนิสต์ ในแง่นี้ชาวจีนที่ว่าจึงประกอบไปด้วยชาวจีนที่เกิดและ/หรือมีชีวิตช่วงก่อนและหลังจากที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์ไม่นาน กับชาวจีนที่เกิดหลังจีนเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วหลายปี ถ้าเป็น กลุ่มแรก กลุ่มนี้จะซึมซับความคิดเดิมๆ ของสังคมจีนเอาไว้อยู่กับตัว ถ้าเป็นกลุ่มหลัง กลุ่มนี้จะรับความคิดคอมมิวนิสต์ล้วนๆ ความคิดเดิมๆ จะมีอยู่ในกลุ่มหลังน้อยมากถึงน้อยที่สุด

เข้าใจพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีน

แน่นอนว่า กว่า 60 ปีนับแต่ที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์เป็นต้นมา คนกลุ่มหลังมีมากกว่าคนกลุ่มแรกที่ค่อยๆ ล้มหายตายจากกันไป ส่วนความคิดเดิมๆ โดยรวมแล้วคือความคิดขงจื่อ ความคิดนี้มีหลักคำสอนในหลายเรื่อง และหนึ่งในนั้นก็คือ กิริยามารยาท ธรรมเนียมปฏิบัติ ประเพณี เป็นต้น

ซึ่งในที่นี้ขอเรียกสั้นๆ ว่า รีต (แบบแผน เยี่ยงอย่าง หรือจารีต) คำสอนเรื่องนี้ทำให้ชาวจีนในอดีต หรือก่อนยุคคอมมิวนิสต์ครองเมือง มีรีตให้ถือปฏิบัติ อาจเห็นได้จากตัวอย่างหนังย้อนยุคของจีนที่มักให้ตัวละครแสดงรีตแบบจีนอยู่เสมอ มีความงดงามและสำรวมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ

จนเมื่อมาถึงยุคคอมมิวนิสต์ รีตต่างๆ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ ช่วงแรกเป็นช่วงที่เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม (..1966-1976) สังคมจีนตกอยู่ในกระแสซ้ายจัด สิ่งใด ความคิดใด หรือการปฏิบัติใดที่มิใช่สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จะถูกถือเป็นปฏิปักษ์ และจะต้องถูกกำจัดกวาดล้างออกไป

ดังนั้น รีตที่ตั้งอยู่บนบรรทัดฐานของความคิดขงจื่อจึงถูกตราว่าเป็นศักดินา และถูกกวาดทำลายล้างไปจากสังคมจีนขณะนั้น ใครที่แสดงออกว่ายังถือปฏิบัติรีตของขงจื่อจะมีความผิดและถูกลงโทษแบบศาลเตี้ย คือไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติใดๆ

เวลานั้นรีตใหม่ที่เข้ามาแทนรีตเดิมจึงคือ วัฒนธรรมแบบชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งมีรูปแบบในการแสดงออกที่แข็งกร้าว ขึงขัง จริงจัง และหยาบกร้าน การแสดงออกเช่นนี้เมื่อปฏิบัติไปนานวันเข้าก็กลายเป็นต้นแบบให้ชาวจีนถือปฏิบัติไปในที่สุด (ที่จริงแล้ววัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น เสมอไป)

ควรกล่าวด้วยว่า ในเมื่อหลักคำสอนของขงจื่อกลายเป็นศัตรูกับลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว ลัทธิหรือศาสนาอื่นก็มิพักต้องพูดถึงอีก จากเหตุนี้ ศาสนสถาน ไม่ว่าจะเป็นของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือแม้แต่เต้า (เต๋า) ล้วนถูกปิดหรือไม่ก็ถูกทุบหรือเผาทำลาย นักบวชของทุกศาสนาลัทธิถูกตราหน้าว่าเป็นกาฝากของสังคม

เมื่อไร้ซึ่งศาสนธรรมให้ยึดเหนี่ยวเสียแล้ว ความละเมียดอ่อนโยนและสำรวมจึงหายไปจากพฤติกรรมของชาวจีน และยิ่งมาผนวกเข้ากับรีตใหม่ที่เป็นวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพ ก็ยากที่จะได้เห็นรีตเดิมที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงามสำรวมอีกต่อไป

การทำความเข้าใจในนักท่องเที่ยวจีน ยังมีต่ออีกตอน ขอให้ติดตามต่อไป

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน