ศรีสุวรรณ ยื่นป.ป.ช.เอาผิด 4 ส.ส. ภูมิใจไทย-พลังประชารัฐ ปม เสียบบัตรแทนกัน เข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์-ทุจริตต่อหน้าที่ ชี้ หากผิดจริงถึงขั้นหลุดตำแหน่ง

วันที่ 27 ม.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องเพื่อให้ ป.ป.ช.สอบเอาผิด ส.ส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จากกรณี นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ และ นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ซึ่งไม่อยู่ที่ประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ 2563

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

แต่ปรากฏมีชื่อเป็นผู้ลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระ 2 และ3 ตามที่ นายนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคและอดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน

กระทั่งนำไปสู่การใช้สิทธิตาม ม.148(1) ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยการเข้าชื่อกันของส.ส. เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าว ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่

ศรีสุวรรณ ยื่นป.ป.ช.เอาผิด 4 ส.ส.ปม เสียบบัตรแทนกัน

ศรีสุวรรณ ยื่นป.ป.ช.เอาผิด 4 ส.ส.ปม เสียบบัตรแทนกัน

นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า แต่เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาเกิดขึ้นจากกรณีของนายฉลอง ที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมวันเด็ก จ.พัทลุง ในวันที่มีการลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว และนางนาที ก็ปรากฏภาพถ่ายอยู่ที่ประเทศจีน แต่บุคคลทั้งสองกลับมีชื่อร่วมลงมติในที่ประชุมสภาเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมาด้วย

นอกจากนี ยังมีพฤติการณ์เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ นายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ นำบัตรมาเสียบกดลงคะแนนรับร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย ปรากฏตามภาพถ่ายการเสียบบัตรแทนกันที่สื่อมวลชนรายงานอีกด้วย

พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 185 อันถือได้ว่าเป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่น และอาจเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561

และเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในข้อ 7 และข้อ 8 ในประเด็นที่ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และต้องไม่มีพฤติการณ์รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ฯลฯ

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หากป.ป.ช.วินิจฉัยว่ามีความผิดตามข้อห้ามข้างต้น อาจนำไปสู่การสิ้นสุดลงของตำแหน่งส.ส. ตามมาตรา 101 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2560 และอาจมีความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 28 (1) และมาตรา 30 วรรคแรก ประกอบ มาตรา 172 ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯจึงจำต้องมาร้องเรียนให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อไป

_____________________________________

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน