สถาบันอาหาร ร่วมกับ บริษัท มาเหนือเมฆ คอนซัลติ้ง เน็ตเวิร์ค จำกัด จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ และเจรจาธุริจในประเทศ ภายใต้โครงการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Ignite Plus) ระหว่างวันที่ 16-18 ม.ค. ที่โรงแรม เอส.ดี. อเวนิว กทม. มีผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชุนที่ผ่านการคัดเลือกทั่วประเทศเข้าร่วมงานกว่า 43 ราย

นางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงที่มาของโครงการว่า แนวคิดการดำเนินโครงการในปีนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่จะ นำเอา STI พร้อมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยแก้ปัญหา สร้างจุดเด่น สร้างจุดขาย ในสัดส่วน 80% และต่อยอด สู่สินค้านวัตกรรมที่ขายได้จริงในเชิงพาณิชย์ สัดส่วน 20% ของจำนวนผลิตภัณฑ์ที่พัฒนา โดยสินค้า อาหารและเครื่องดื่ม ตั้งเป้ายกระดับอย่างน้อย 75 ผลิตภัณฑ์

สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ร่วมมือกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เข้ามาช่วยยกระดับผู้ประกอบการ กำหนดแนวทางการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปช่วยมุ่งเน้น 4 แนวทาง

ประกอบด้วย 1.การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ ตอบโจทย์ด้านสุขภาพตามทิศทางของตลาดที่กำลังเติบโตต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.พัฒนาผลิตภัณฑ์จากเศษของเหลือในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม 3.พัฒนาต่อยอด สินค้าเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย และ 4.พัฒนาสินค้าที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ให้เป็นสินค้าแปรรูปที่ มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้สามารถคงอยู่และเผยแพร่ออกไปในวงกว้างมากขึ้น

ทำให้ผู้ผลิต OTOP ซึ่งมีจุดอ่อนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดอาหารที่มีรอบระยะเวลาเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นกว่าอดีต ตอบโจทย์ตลาดปัจจุบันและอนาคตระยะใกล้ เป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ

ทั้งนี้ดำเนินการคัดเลือกโดยมีคณะกรรมการ Pitching สถานประกอบการที่ผ่านการคัดเลือก ยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จำนวน 82 กิจการ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร 73 ราย เครื่องดื่ม 9 ราย ทีมที่ปรึกษาเข้าดำเนินการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ และตรวจวิเคราะห์ความปลอดภัยอาหารเบื้องต้นก่อนนำออกสู่ การทดสอบตลาดให้ผู้บริโภคชิมและให้ความเห็น เพื่อผู้ประกอบการนำไปปรับปรุงก่อนผลิต ออกขายจริง โดยแบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 4 กลุ่มการพัฒนา ได้แก่ 1.สินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบ GI หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น 2.สินค้าจากวัตถุดิบเกษตรอินทรีย์ หรือปลอดสารเคมีตกค้าง 3.สินค้าเพื่อสุขภาพ 4.สินค้าที่ผลิตจาก by product

ในจำนวนนี้มีเป็นสินค้านวัตกรรมจำนวน 16 ผลิตภัณฑ์ โดยการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เน้นเพื่อให้ขายได้จริง มีต้นทุนเหมาะสม และเทคโนโลยีเหมาะสำหรับผู้ผลิต ขนาดเล็กที่ไม่ต้องลงทุนสูง เช่น การทำแห้งแบบ Foam mat , Spherical Forming Process , การสกัดแบบอัลตร้าโซนิก, การเลือกใช้สาร humectant และ sugar alcohol เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

สำหรับอีก 66 ผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปช่วยแก้ปัญหาหรือสร้างจุดขายให้สินค้ามากขึ้น ก็จะเน้นการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้สินค้ามีความปลอดภัย ยืด อายุผลิตภัณฑ์ ปรับสูตรให้มีจุดเด่น ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ปรับส่วนผสมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเพิ่มสิ่งใหม่ที่มีคุณค่า หรือการคิดใหม่ให้แตกต่างจากที่เป็นอยู่ ปรับผลิตภัณฑ์จากของเดิมเพื่อขยายสู่ตลาดใหม่ๆ ที่กว้างขึ้น โดยอาศัยเครื่องจักรเดิมที่มีอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยเพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินการได้ทันทีไม่ต้องลงทุนเพิ่ม และอิงกระแสตลาดและความต้องการของผู้ซื้อในปัจจุบันให้มากที่สุด

กิจกรรมในครั้งนี้ผู้ประกอบการยังได้รับความรู้จากการบรรยายของนายวรเกษมสันต์ สิริศุภรัชต์ ผู้เชี่ยวชาญเจรจาธุรกิจ โดยเน้นให้ผู้ประกอบการเข้าใจโครงสร้างและศักยภาพของตลาด CLMV, โครงสร้างราคาและกลยุทธ์การตลาด, รายละเอียดสำคัญทางด้านพิธีการค้าระหว่างประเทศ และการเตรียมเอกสารและกลยุทธ์เจรจาการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งได้ WORKSHOP ปฏิบัติการเจรจาการค้าด้วยตนเอง

ด้านนางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในวันที่ 16-18 ม.ค. นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างโอกาสทางการตลาดด้วยการจัดเจรจาธุรกิจโดยผู้ประกอบการจะได้พบกับผู้ซื้อจากบริษัทไทยและบริษัทต่างประเทศ 25 ราย เช่น บจก. ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง, บจก. วาสนา เล่อยั่วเทียน (ตัวแทนขายในจีน), สิกาดาเมะ (ตัวแทนจากกัมพูชา), เจนนิซิส เวลบีอิ้ง อินโนเวชั่น, นพรัตน์ องค์เสมา (ผู้จำหน่ายซุปเปอร์ฯ ลาว), สุกัลยา (ผู้นำเข้าประเทศอินเดีย), บจก.มั่นคงพัฒนา, ประธานคลัสเตอร์ธุรกิจไทย-เวียดนาม, จูวีนัส เฮลม์ แคร์ โปรดักท์ เป็นต้น โดยคาดว่าจะจับคู่ทางธุรกิจได้ไม่ต่ำกว่า 60 คู่ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน