รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 272 บัญญัติว่า ในระหว่างห้าปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้
การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดําเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทําในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา
มติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
คือให้สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากแต่งตั้งจำนวน 250 คน เข้ามามีอำนาจและหน้าที่ลงมติแต่งตั้งบุคคลให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
การลงมติเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดต นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่สามารถมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาได้
เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 249 คน ออกเสียงเห็นชอบเพียง 13 คนเท่านั้น ที่เหลือ 34 เสียงลงมติไม่เห็นชอบ และ 158 คนงดออกเสียง นอกจากนั้นไม่ได้เข้าร่วมประชุม
ผลการลงมติที่รัฐสภาไม่เห็นชอบการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีประชาชนไม่พอใจต่อวุฒิสภาอย่างมาก
โดยแสดงออกทั้งในที่สาธารณะและโลกออนไลน์ อันเป็นมาตรการลงโทษทางสังคมอย่างหนึ่ง
ขณะเดียวกัน สมาชิกสภาผู้แทนพรรคก้าวไกล ก็เข้าชื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อไม่ให้สมาชิกวุฒิสภามีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย
จริงอยู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานั้น ประสบความสำเร็จเพียงประเด็นเดียว คือมาตรา ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมือง
แม้การแก้ไขประเด็นดังกล่าวจะสำเร็จได้ยาก เพราะต้องใช้เสียงสมาชิกวุฒิสภาอย่างน้อย 84 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้านด้วยจำนวนหนึ่ง
แต่ตอกย้ำให้เห็นว่าที่ทำให้การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่สำเร็จนั้น เกิดจากการไม่เห็นชอบของวุฒิสภา อีกทั้งเพื่อพิสูจน์ว่าที่ลงมติงดออกเสียงและไม่มาร่วมประชุมนั้น อยากลดอำนาจ ตัวเองจริงหรือไม่