พาณิชย์
5 หน่วยงานผนึกกำลังดันร้าน “โชห่วย” ซื้อขายผ่านออนไลน์ ตั้งเป้า 750 ร้านในปีหน้า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการโชห่วย 4.0 เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลเล็งเห็นปัญหาความเดือดร้อนของร้านโชห่วยในชุมชน ที่ไม่สามารถแข่งขันในตลาดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคได้ จึงนำมาสู่การพัฒนาช่องทางการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แบบ B2B (Business to Business) ผ่านแอพพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ ซึ่งยึดหลักตามอูเลโมเดลจากประเทศจีน ภายใต้การผนึกกำลังของ 5 หน่วยงาน ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร “ในระยะแรกของโครงการจะเริ่มนำร่อง 3 จังหวัด คือสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี กำหนดเป้าหมายร้านโชห่วยเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 750 ร้านภายในเดือนมกราคม 2562 ตั้งเป้าให้แต่ละร้านมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 คาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดราว 40,000 ร้านได้ใน 3 ปี” นายกอบศักดิ์ กล่าว ขณะที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางหลักระหว่างร้านโชห่วยกับผู้ผลิต บริหารคำสั
นายวิชัย โภชนกิจ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยในส่วนของแอพพลิเคชั่น “ถุงเงิน” พบว่ามีจำนวนร้านค้าผู้สมัคร 11,356 ร้านค้า กระทรวงพาณิชย์ส่งกรมบัญชีกลาง 21,845 ร้านค้า ธนาคารกรุงไทยส่งข้อความไปแจ้งผู้สมัครแล้ว 15,162 ร้านค้า ร้านค้าดาวน์โหลดแอพ 7,841 ร้านค้า ร้านค้ายังไม่ดาวน์โหลดแอพ 7,321 ร้านค้า ร้านค้าใช้งานแอพ แล้ว 3,203 ร้านค้า รวมจำนวนเงินที่ใช้ไปในโครงการตั้งแต่ 1 ต.ค. 2560 ถึง 19 ส.ค. 2561 จำนวน 34,996,076 บาท จากวงเงินที่ใส่ในบัตร 48,000 ล้านบาท และยังพบว่าหลายรายใช้เงินจับจ่ายมากกว่าวงเงินที่ให้ไว้ในบัตร ส่งผลให้ในภาพรวมร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศมีเงินหมุนเวียนกว่า 96,000 ล้านบาท ซึ่งตามทฤษฎีการใช้จ่ายในระดับรากหญ้า หากกระตุ้นเงินงบประมาณลงไปจะทำให้เงินหมุนไป 5 รอบ หรือน่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนรวมกว่า 450,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นเม็ดเงินซื้อสินค้าชุมชน เช่น น้ำพริก กุ้งแห้ง และไส้อั่ว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เตรียมว่าจ้างมหาวิทยาลัยราชภัฏเก็บข้อมูลรายได้สินค้าชุมชนที่จำหน่ายในโครงการ ทั้งนี้ แอพดังกล่าวจะเน้นร้า
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์การค้ามันสำปะหลังอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด พบว่าราคาเฉลี่ยข้าวโพดจีนปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงต้นเดือน ธ.ค. ปีที่ผ่านมา ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,672 หยวน/ตัน ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน 1,795 หยวน/ตัน เพิ่มขึ้น 123 หยวน/ตัน หรือคิดเป็น 7% ส่งผลให้จีนมีความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตลาดจีนจะเพิ่มปริมาณการนำเข้าอีก หลังจากหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง “ปัจจุบันราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดโลก ส่งผลให้ราคามันสำปะหลังทั้งของไทยและของประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นทั้งระบบ จึงอยากขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ ให้รับซื้อมันสำปะหลังจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดด้วย เพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะได้ไม่ต้องออกมาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นภาระของผู้ประกอบการในที่สุด” นอกจากนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดจีน กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) ได
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 5-6 ก.พ.นี้ ที่ จ.ตราด และ จ.จันทบุรี กระทรวงพาณิชย์เตรียมเสนอยุทธศาสตร์ผลไม้เพื่อยกระดับให้ไทยเป็นผู้นำหรือมหานครแห่งผลไม้ ทั้งการผลิต แปรรูป เชื่อมโยงตลาดเป็นชาติแห่งการค้าผลไม้ และการสร้างไทยแลนด์แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของทั่วโลก โดยจะเน้นในผลไม้ 3 ชนิดคือ ทุเรียน ลำไย และมังคุด ซึ่งจะเป็นการยกระดับผลไม้ไทยให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น ตลอดจนทำให้ผลไม้ราคามีเสถียรภาพ ไม่ตกต่ำ รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดได้ด้วย โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมีทั้งนโยบาย แผนปฏิบัติการ และด้านการตลาด “ต่อจากนี้เราจะทำให้ทั่วโลกเห็นว่าหากประเทศใดต้องการซื้อขายผลไม้ หรือหาผลไม้ที่มีคุณภาพดี ต้องมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรก ทั้งนี้ เพื่อรองรับผลผลิตผลไม้ที่จะออกในช่วงประมาณเดือนมี.ค. โดยจะนำร่องให้ จ.จันทบุรี เป็นจังหวัดแรกเพื่อให้เป็นต้นแบบการบริการจัดการผลไม้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้หลายประเทศมีความต้องการผลผลิตทุเรียน และมังคุดเป็นจำนวนมาก ประกอบกับไทยได้นำขั้นตอนการแปรรูปผลไม้
“อภิรดี” สั่งกรมการค้าภายในจับตาราคาผักแพงรับเทศกาลกินเจ เตรียมจัดหามาตรการเชื่อมโยงตลาดทั่วประเทศ มั่นใจมีปริมาณเพียงพอ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามสถานการณ์ราคาผัก และปริมาณผลผลิตที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงเทศกาลกินเจที่กำลังจะมาถึง ระหว่างวันที่ 1 – 9 ตุลาคม 2559 เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ราคาผักอาจจะยังคงอยู่ในระดับสูงตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดในแต่ละวันและความต้องการที่สูงขึ้น “ขอให้ประชาชนเป็นผู้บริโภคยุคใหม่ ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้ โดยเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อรักษาประโยชน์ของตนเอง และหากพบเห็นหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการ แจ้งที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ” ทั้งนี้ กรมการค้าภายในรายงานว่า สถานการณ์ราคาผักผักใบ เช่น ผักกาดหอม คะน้า ผักชี ต้นหอม และขึ้นฉ่าย ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนกันยายน 2559 เป็นต้นมา ได้ปรับตัวลดลง 8 – 26% เนื่องจากมีฝนตกในแหล่งผลิตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลผลิตได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ปริมาณผลผลิตจึงออกสู่ตลาด