เกษตรผสมผสาน
เนรมิตที่ดิน 1 ไร่ ทำเกษตร ปลูกผัก ทำนา เลี้ยงปลา ได้เงินเดือนเป็นแสน ที่บ้าน คุณภีรพร หอมสมบัติ ชาวบ้านบ่อใหญ่ หมู่ 2 ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม และภรรยา คือคุณทัศนีวรรณ์ หอมสมบัติ โทร. (088) 036-2139 เจ้าของพื้นที่ทำการเกษตร 1 ไร่ ได้แสน โดย คุณภีรพร กล่าวว่า แปลง 1 ไร่ ได้แสน เน้นการปลูกข้าวอินทรีย์เคมี ใช้มูลโค มูลกระบือ มูลไก่ รองพื้น ตามด้วยปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-8 จำนวน 5-10 กิโลกรัม ต่อไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 7-10 กิโลกรัม ต่อไร่ ช่วงปลูกในเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม การดูแลรักษา ทำโดยการสูบน้ำเข้านา ประมาณต้นเดือนกันยายน ให้ปุ๋ยสูตร 12-24-12 จำนวน 10 กิโลกรัม ต่อไร่ ได้ผลผลิตต่อฤดูกาล 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาข้าว ขายตามราคาจำนำ เกวียนละ 15,000 บาท “ผมเลี้ยงปลาดุกในนาข้าว จำนวน 20,000 ตัว ขายได้ปีละกว่า 20,000 บาท ปลูกมะนาว พันธุ์พิจิตร 1 จำนวน 20 ต้น ในวงบ่อซีเมนต์ รอบแปลงและรอบบ่อปลา ได้ผลผลิตนอกฤดูกาล มีรายได้วงบ่อละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท ขยายพันธุ์มะนาวด้วยวิธีการตอนกิ่งจำหน่ายภายในชุมชน ปีละ 100-200 ราคากิ่งละ 100 บาท ปลูกพืชฤดูแล้ง ถั่วลิสง จำนวน 1
ลาความหลอน! ล้าง ป่าช้า เปลี่ยนที่นอนผี สู่แปลงเกษตรผสมผสานสุดเก๋ ป่าช้า เป็น แปลงเกษตร / วันที่ 12 ธ.ค. ชาวบ้านอ้ออีเขียว หมู่ที่ 2 ต.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี พร้อมใจกันลงแขกเกี่ยวข้าวบนพื้นที่นาขนาด 1 งาน และเต้นรำบาสโลบ ตามแบบฉบับชาวไทยเชื้อสายลาวเวียง ในกิจกรรม “ลงแขกเกี่ยวข้าว เผาปลา” ที่จัดขึ้นด้วยความร่วมมือของคนในหมู่บ้าน โดยพื้นที่นาดังกล่าว คือ ป่าช้าเก่า ที่ชาวบ้านได้ลงความเห็นให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นแปลงเกษตรผสมผสาน ให้เป็นซุเปอร์มาเก็ตของชุมชน นายสุชาติ ชื่นใจ ผู้ใหญ่บ้านอ้ออีเขียว เปิดเผยว่า ในอดีตพื้นที่กว่า 3 ไร่ ของแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านอ้ออีเขียว เป็นป่าช้าเก่าที่ถูกปล่อยร้างมานาน จนกระทั่งเมื่อ 30 ปีก่อน ทางวัดอ้ออีเขียวได้ร่วมกับชาวบ้านทำพิธีล้างป่าช้า ต่อมาเมื่อพื้นที่ไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ ทำให้มีผู้ลักลอบนำขยะมาทิ้งเป็นประจำ ดูไม่น่ามอง ตนกับชาวบ้านจึงมีแนวคิดเดียวกันว่าจะพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนในรูปแบบ “โคก หนอง นา” มีการขุดสระน้ำเลี้ยงปลาเบญจพรรณ ขนาด 1 งาน ปลูกป่าชุมชน พืชผักสวนครัว และนาข้าว 1 งาน เพื่อเป็นต้นแบบให้กับชาวบ้านและคนในชุมชนได้เรียนรู้
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง อยู่ได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและผู้อื่น ซึ่งต้องสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีเสียก่อน มีความพอกินพอใช้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับตนเอง และสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย วันนี้ จะพาท่านผู้อ่านไปสัมผัสกับบรรยากาศอันสดชื่น เย็นสบายๆ ภายในบริเวณทุ่งนา (นาข้าว) ซึ่งแปรสภาพเป็นไร่นาสวนผสม ของ คุณคำปน จันทร์ชนะ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4 หมู่ที่ 10 ตำบลเซเป็ด อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันประกอบอาชีพรับราชการ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านนาเดื่อ ตำบลเซเป็ด อำเภอตระการพ
ณวัชรีญา มณีรัตน์ อยู่บ้านเลขที่ 66 หมู่ที่ 6 ตำบลเสนางคนิคม อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ เล่าให้ฟังว่า เมื่อได้เรียนจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี ได้ทดลองทำงานในบริษัทได้สักระยะรู้สึกว่าไม่ชอบงานทางด้านนี้ จึงได้ปรึกษากับทางครอบครัวว่าอยากจะกลับมาอยู่บ้าน โดยทำอาชีพทางด้านเกษตรกรรมเน้นแบบผสมผสาน จะทำให้มีรายได้หมุนเวียนในการใช้จ่ายภายในครัวเรือน แปลงแก้วมังกร โดยพื้นที่ภายในบ้านก้จะแบ่งเป็นโซนปลูกพืชผักสวนครัว แปลงไม้ผล ไปตลอดจนหญ้าเนเปียที่ใช้สำหรับเลี้ยงโคเนื้อ และที่สำคัญเล้าหมูและไก่เป็ดที่เลี้ยงยังสร้างรายได้ให้กับเธอได้อีกด้วย แปลงปลูกหญ้าเนเปียร์ “พอเราปรึกษากับที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านเลย ตอนนั้นก็นำเงินทุนที่ได้จากทำงาน มาค่อยๆ ลงทุน โดยที่ยังไม่ได้ลงทุนทีเดียวหมด ขั้นแรกก็มีซื้อโคเนื้อมาเลี้ยง เพราะมองว่าสามารถผลิตลูกโคให้เราได้ จากนั้นเราก็ขายไป พอมีรายได้เข้ามาเราก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ก็จะเป็นรายได้ทดแทนกันไป ซึ่งการจะมีรายได้รายวัน เราก็ปลูกพืชผักสวนครัว ส่วนเงินรายเดือนก็ได้จากเป็ด ไก่ หมูปลา ก็จะเอาเงินที่ได้จากทางนี้มาใช้จ่ายซื้ออาหารสำหรับทำปศุสัตว์
การต์รวี บัวบุญ หรือ น้องอ้น อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 37 หมู่ที่ 7 ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เดิมมีอาชีพรับราชการเป็นพยาบาล โดยจบการศึกษาจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสระบุรี พยาบาลวิชาชีพ (4 ปี) จากนั้นรับราชการอยู่หลายแห่งเป็นเวลารวม 8 ปี (ศูนย์มะเร็งลพบุรี 2 ปี, โรงพยาบาลวาปีปทุม 3 ปี, โรงพยาบาลมหาสารคามอินเตอร์ 1 ปี, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2 ปี…จบปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และกำลังศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาเดียวกันและที่เดียวกัน เขาลาออกจากพยาบาลมาทำเกษตรอย่างจริงจัง การต์รวี มีพื้นที่ 22 ไร่ ทำนา 10 ไร่ สระน้ำ 4 ไร่ ที่เหลือเป็นที่ดอน โดยได้ทำการเกษตรหลายอย่าง ดังนี้ เลี้ยงเป็ดไข่ (พันธุ์กากีแคมป์เบล, ซีพีซุปเปอร์) 500 ตัว ให้ไข่แล้ว 200 ตัว ซื้อวัตถุดิบมาผสมอาหารเอง เช่น กากปาล์มน้ำมัน กากถั่วเหลือง รำ มีการเพาะพันธุ์เป็ดเองโดยใช้เครื่องฟักไข่ช่วย ไก่ไข่ 50 ตัว แต่เลี้ยงแบบไก่พื้นเมือง ให้อาหาร ได้แก่ รำ หญ้าเนเปียร์ น้ำหมักปลา ทำให้เปอร์เซ็นต์การไข่ดีถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ได้รับความสนใจจากลูกค้าดีมากโดยเฉพาะผู้ห่วงใยสุขภาพ เช่น หมอ
ทีมงานจากสำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี และสำนักงานเกษตรอำเภอน้ำยืน พาแวะไปชมแปลงปลูกพืชของเกษตรกรในอำเภอน้ำยืนหลายแปลงด้วยกัน ที่ขาดไม่ได้คือ คุณหนูจร พุดผา อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ที่ 7 ตำบลบุเปือย อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โทรศัพท์ (091) 019-7163 คุณหนูจร เป็นอดีตกำนันดีเด่นแหนบทองคำ ปี 2552 จากซ้ายไปขวา คุณณรงค์ ทูลสูงเนิน เกษตรอำเภอน้ำยืน นำทีมงานทำข่าวทั้งวัน คุณวิไล อุตส่าห์ คุณหนูจร พุดผา ทายาทเกษตรรุ่นที่ 3 คุณอำนาจ พุดผา ลูกชายคุณหนูจร และ ว่าที่ร้อยตรี รณยศ โมฆรัตน์ คุณหนูจร บอกว่า เกษียณจากกำนันไม่นานนัก ทุกวันนี้เป็นเกษตรกรเต็มตัว ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หรือหวาดระแวงว่าคดีต่างๆ จะเข้าถึงตัว เพราะขณะที่ทำงานรับใช้ประชาชน ตนเองมีความตั้งใจจริง มีความซื่อสัตย์ พื้นฐานเดิมของอดีตกำนันแหนบทองคำเป็นเกษตรกร มีที่ดินเป็นมรดกตกทอดอยู่บ้าง ก่อนเกษียณ 10 ปี ได้เตรียมตัวอย่างเป็นระบบ โดยเสาะหาที่ดินเพิ่ม ซึ่งซื้อหาในราคาไม่แพง แต่ที่สำคัญมากนั้น เขาได้ปลูกไม้ยืนต้น โดยทะยอยปลูก จากน้อยไปหามาก จึงไม่ได้ลงทุนสูง ขณะเดียวกัน ก็มีรายได้ตั้งแต่ปีแรกๆ เพราะปลูกพืชอายุสั้น ส่วนพืชที่ให้
อาชีพการเกษตร ยังคงมีเสน่ห์แรงไม่เสื่อมคลาย ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบอาชีพอื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินเดือนประจำ ที่เรียกว่า “มนุษย์เงินเดือน” ถึงแม้นจะมีค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง แต่ก็จะต้องแลกด้วยปัญหาสารพัดคล้ายๆ กัน เช่น ความเครียดอันเนื่องมาจากการทำงานที่จะต้องได้ผลงานตามเป้าหมาย ขาดการออกกำลังกาย และโรคภัยรุมเร้า ด้วยปัญหาดังกล่าวจึงมีบุคคลเหล่านี้มองหาทางออก และเห็นว่าอาชีพการเกษตรน่าจะเป็นวิถีที่จะสร้างอาชีพและสร้างความสุขให้แก่ตนเองได้อย่างยั่งยืน เช่น คุณมงคล เหล่ามาลา อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 135 หมู่ที่ 20 บ้านหนองแคน ตำบลศรีสุข อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โทร. (099) 939-6130 Id Line : มงคล@กันทรวิชัย Facebook : สวนเกษตรเพชรมงคล มหาสารคาม คุณมงคล เหล่ามาลา (ซ้าย) เกษตรอำเภอ (ขวา) เยี่ยมชมสวน คุณมงคล เล่าให้ฟังว่า ปี 2543 หลังจบ ม.6 ได้เข้าศึกษาต่อที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตกาฬสินธุ์ (สาขาวิชาประมง) ระหว่างเรียน ปวส. 2 ได้มีบริษัทมาคัดเลือกให้เข้าทำงานกับบริษัท ด้วยสถานะการเงินทางบ้านขณะนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก แม้จะอยากเรียนต่อเพียงใดก็ตาม ด้วยไม่อยากเป็นภาระของพ่อแม่
การทำเกษตรกรรมในยุคดิจิตอลดูจะแตกต่างจากยุคเก่าอย่างสิ้นเชิง ความมีอิทธิพลของเทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่เหนือขีดจำกัด จึงทำให้คนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าที่พยายามปรับตัวสามารถทำเกษตรกรรมในรูปแบบที่ทันสมัยได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนหรือสืบทอดสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรมาแบบแนวคิดสมัยก่อน แต่หากมีใจรักผนวกกับความใส่ใจหาข้อมูลอย่างละเอียด ไปศึกษาดูงานเกษตรตามแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ความสำเร็จในการทำเกษตรกรรมก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างไม่ยาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดแล้วสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมทันที คงเป็นกรณีของ คุณไพบูลย์ นาคสีหราช บ้านเลขที่ 1233/45 ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ บุคคลท่านนี้ยึดอาชีพทนายความมายาวนานอยู่ในจังหวัดบ้านเกิด ชอบงานเกษตรเพราะเคยเรียนที่เชียงใหม่ จากนั้นหันเหชีวิตมาเรียนกฎหมายจนยึดอาชีพทนายความมาจนถึงวันนี้ คุณไพบูลย์ นาคสีหราช ทำเกษตรยุคใหม่ ต้องเน้นผสมผสาน คุณไพบูลย์ ชี้ว่า การทำเกษตรยุคใหม่ต่างจากยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง ทั้งสภาพพื้นที่ปลูก สภาพอากาศ และวัฒนธรรม ดังนั้น การทำเกษตรกรรมยุคให
“การทำเกษตร ต้องดูก่อนว่าสภาพพื้นที่เราเหมาะสมทำแบบไหน เพราะบางพื้นที่ปลูกผักได้ดี บางพื้นที่เลี้ยงปลาได้ดี อย่างที่ผมทำอยู่นี่เน้นเรื่องเลี้ยงปลา เพราะบริเวณที่ผมอยู่มีน้ำชลประทานผ่าน จึงไม่มีปัญหาในเรื่องน้ำ ดังนั้น การเลี้ยงปลาจึงถือว่ามีประโยชน์กับผม ยิ่งเราเกษียณจากอายุงานด้วยแล้ว ต้องหาอะไรทำ เพื่อไม่ให้ชีวิตต้องอยู่แบบเหงาๆ ผมจึงเลือกมาเลี้ยงปลา และปลูกพืชผสมผสาน เพื่อให้ชีวิตของผมมีความสุขในทุกๆ วัน” คุณถาวร กล่าว คุณถาวร งานยางหวาย อยู่บ้านเลขที่ 105 หมู่ที่ 4 ตำบลกุดสระ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นชายวัยเกษียณผู้มากรอยยิ้ม ผู้มีความตั้งใจเลือกชีวิตเป็นเกษตรกรหลังเกษียณจากงานประจำที่ทำ เรียกง่ายๆ ว่า ไม่พียงแต่มีรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น เขายังมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำอีกด้วย คุณถาวร งานยางหวาย ไม่ขอ นั่งๆ นอนๆ ขอมีงานทำให้สุขใจ คุณถาวร เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนมีอาชีพรับราชการ เมื่อครบกำหนดเกษียณอายุ ปี 2550 จึงได้คิดริเริ่มใช้เวลาว่างหลังเกษียณให้เกิดประโยชน์ จึงได้ศึกษาวิธีการเลี้ยงปลา ตลอดจนการทำเกษตรแบบผสมผสานควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มีรายได้หลากหลายช่องทางระหว่างที่รอ
คุณดวงเดือน ขัติยเนตร ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเวียงสา จำกัด เคยเป็นสมาชิกสภาเกษตรกร เป็นอาสาสมัครเกษตร เป็นที่ปรึกษานายกเทศมนตรี เป็นรองประธานหอการค้า และจากการที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรมาโดยตลอด ทำให้ทราบถึงปัญหาในการประกอบอาชีพของเกษตรกร และทราบว่าการช่วยเหลือเกษตรกรที่ดีที่สุดคือ ต้องสร้างวิธีคิดให้กับเกษตรกร และฝึกปฏิบัติจนสามารถนำกลับไปใช้ได้จริง จึงได้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนสามอาชีพขึ้น เป็นศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรธรรมชาติ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านสหกรณ์ เป็นเครือข่ายของสหกรณ์การเกษตรเวียงสา จำกัด เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมของสมาชิกสหกรณ์ เกษตรกรทั่วไปตลอดจนผู้สนใจ โดยเน้นการทำการเกษตรแบบพอเพียงตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส รู้จักช่วยเหลือตนเอง ชุมชน และสังคม รู้จักการให้ การเสียสละ สอนให้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น ใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมทางสายกลาง ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนสามอาชีพเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจในกา