“หลวงปู่คม ปัญญาคโม” เจ้าสำนักสงฆ์ศรีวงศ์ (ถ้ำภูกิ่ว) ภูสิงห์ ต.ชัยพร อ.เมือง จ.บึงกาฬ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมถะเรียบง่าย เมตตาศิษย์ทุกชนชั้น สืบสายธรรมจากหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม อดีตพระกัมมัฏฐานรุ่นแรกกองทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่ทุย ฉันทกโร วัดดานวิเวก จ.เลย
ปัจจุบัน สิริอายุ 73 ปี พรรษา 50
มีนามเดิม คม ชินคำ เกิดเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2495 ที่บ้านนาแซง ต.นาแซง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด บิดา-มารดา ชื่อ นายบุญตา และนางมอญ ชินคำ ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา
หลังจบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนในหมู่บ้าน ช่วยงานครอบครัว ทำนา เลี้ยงวัว ขณะอายุ 13 ปี ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านคลองเค็ม อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย
อายุ 15 ปีขอครอบครัวเข้าพิธีบรรพชาที่วัดสามัคคีอุปถัมภ์
กระทั่งอายุ 24 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ณ อุโบสถวัดสามัคคีอุปภัมภ์ (ภูกระแต) อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย มีพระครูสิริธรรมวัฒน์ หรือหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม วัดสามัคคีอุปถัมภ์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สมพร สุมังคโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อยู่จำพรรษากับหลวงปู่ทุย ฉันทโก ที่วัดดานวิเวก รวม 3 พรรษา มุมานะศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท และเอก ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังสนใจด้านวิทยาคม จึงฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิทยาคมกับหลวงปู่ทุย ฉันทโก และหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม พระอุปัชฌาย์
จากนั้นออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่จรัส ธัมมธโร ที่วัดดอยน้ำตกพัฒนา ต.ทุ่งก่อ อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย และที่วัดป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ระยะหนึ่ง
ต่อมาจึงเดินทางกลับบึงกาฬ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหลายแห่ง อาทิ วัดดานวิเวก อ.โซ่พิสัย วัดป่าแถบภูลังกา วัดป่าดอนกรรม อ.โซ่พิสัย เป็นต้น จนถึงปี พ.ศ.2537 มาจำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักสงฆ์สำนักสงฆ์ศรีวงศ์ (ถ้ำภูกิ่ว) ภูสิงห์ ต.ชัยพร อ.เมือง จ.บึงกาฬ จวบจนปัจจุบัน
สภาพภูมิศาสตร์ของสำนักสงฆ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาอุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่ง อดีตที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่เคยมาจำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ต้องเดินเท้าออกไปรับบิณฑบาตไปกลับไม่ต่ำกว่า 6 กิโลเมตร
ความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ คือ อดีตเคยมีพระสายป่านักปฏิบัติที่มีชื่อเสียงเคยมาปฏิบัติธรรมหลายรูป อาทิ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ก่อนจะไปจำพรรษาอยู่วัดภูทอก, หลวงปู่ผาง โกสโล, หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม, หลวงปู่เสถียร คุณวโร, หลวงปู่แฟ้บ สุภัทโท เป็นต้น ล้วนแต่เป็นพระกัมมัฏฐานรุ่นแรก กองทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น
ครั้นเข้ามาจำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่ที่แห่งนี้จึงร่วมกับคณะศิษย์ รวมทั้งญาติโยมหมู่บ้านใกล้และไกล ร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหาหลายอย่าง อาทิ พัฒนาถนนขึ้นมาวัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด สร้างกุฏิเป็นสัดส่วนให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมช่วงเข้าพรรษาพัก สร้างศาลาปฏิบัติธรรมเพื่อใช้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เป็นต้น ส่วนปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคไม่ขาดแคลน เนื่องจากมีบ่อน้ำที่มีน้ำซึมออกมาเต็มบ่อตลอดมาตั้งแต่ช่วงที่หลวงปู่จวนจำพรรษาอยู่แล้ว
ด้วยวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและสืบสายธรรมจากอดีตครูอาจารย์สายพระป่า ทำให้เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ในแต่ละวันจึงมีพุทธศาสนิกชนในและนอกพื้นที่เข้ามากราบนมัสการรับฟังธรรมอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งก็ให้ความอนุเคราะห์ด้วยความเมตตา
สำหรับหัวข้อธรรมที่พร่ำสอนมาโดยตลอดคือการให้รักษาศีล 5 รู้จักกตัญญูกตเวทิตาต่อบิดา มารดา ครู อาจารย์กับผู้มีอุปการคุณ ก็จะทำให้ชีวิตพานพบแต่ความสุขความเจริญ
มุ่งเน้นด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานตามรอยพระสายป่า อุทิศตนรับใช้พระพุทธศาสนาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แม้จะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตก็ตาม หากดูจากอายุและพรรษานับได้ว่าเป็นพระสงฆ์ที่อายุมากอีกรูปหนึ่งของคณะสงฆ์จังหวัดบึงกาฬ
เป็นร่มธรรมที่ให้ความชื่นเย็น เบาสบาย กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ