เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
Featured การเงิน และการตลาด

‘ตลาดขนมขบเคี้ยวไทย’ ยังน่าสนใจ ทำกำไรขั้นต้นสูงถึง 20-35% ส่งผลให้เจ้าใหญ่ๆ ลงมาสู้กันเอง 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยข้อมูล ยอดขายขนมขบเคี้ยวไทย ในปี 2568 คาดอยู่ที่ 49,550 ล้านบาท หรือโต 1.5% ชะลอจากปี 2567 ที่โต 4.7%

ปัจจุบัน ‘ตลาดขนมขบเคี้ยวไทย’ มีจำนวนผู้เล่นมากกว่า 298 ราย และยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่น่าดึงดูด เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 20-35% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบที่ไม่สูง ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี จึงทำให้ตลาดขบเคี้ยวมีการแข่งขันอย่างรุนแรงจากผู้เล่นรายใหญ่ด้วยกันเอง

เนื่องจากรายใหญ่มี Economy of Scale รวมถึงมีสินค้าหมุนเวียนตลอด มีการออกรสชาติหรือไลน์โปรดักต์ใหม่ๆ และมีการบริหารจัดการต้นทุน ค่าใช้จ่ายในด้านการตลาดได้ดี จึงสามารถจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายได้สม่ำเสมอ ทำให้เกิดการรับรู้แบรนด์จากผู้บริโภค ขณะที่ผู้เล่นรายเล็กจะแข่งขันในตลาดได้ยากกว่า

แต่ถึงแม้ว่าผู้เล่นรายใหญ่จะครองตลาดได้ แต่การแข่งขันของผลิตภัณฑ์ก็ไม่ง่าย เพราะต้องแข่งขันกันเองกับตลาดขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย และยังต้องแข่งกับอาหารทานเล่นอื่นๆ อาทิ ขนมหวาน ติ่มซำ เฟรนช์ฟรายด์ ลูกชิ้น เป็นต้น

ตลาดขบเคี้ยวไทย

ในปี 2564-2567 พบว่า ปริมาณขนมขบเคี้ยวนำเข้า อย่าง ขนมปังกรอบและเวเฟอร์ โตเฉลี่ย 2.1% ต่อปี และในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 โตถึง 12.5%

ส่วนการส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยมีสัดส่วนปริมาณราว 18% โดยในปี 2564-2567 ปริมาณส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยโตต่ำเฉลี่ย 1.2% ต่อปี และแม้ว่าในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 จะโตพุ่ง 28.9% แต่ไปข้างหน้าก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดจีน ที่มีทั้งแบรนด์ขนมเก่าและใหม่ในตลาดจำนวนมากอีกทั้งยังมีราคาถูก จะกดดันการส่งออกขนมขบเคี้ยวของไทย

โดยตลาดขนมขบเคี้ยวไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามยอดขาย คือ 

  • กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดราว 51% 
  • กลุ่มขนมปังกรอบและบิสกิต ที่ 36% 
  • กลุ่มขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช ที่ 13% 

ทั้งนี้ ผู้บริโภคมักจะบริโภคขนมขบเคี้ยวในช่วงเวลาที่ทำกิจกรรมท่องเที่ยวหรือสังสรรค์ร่วมกับผู้อื่นเป็นหลัก หรือ “We Time” เช่น ท่องเที่ยว, สังสรรค์ และดูภาพยนตร์ คิดเป็น 54% ของเวลาทั้งหมดที่บริโภคขนมขบเคี้ยว และอีก 46% จะบริโภคในเวลาที่ใช้อยู่กับตัวเองหรือ “Me Time” เช่น ทำงาน, อ่านหนังสือ, เล่นอินเทอร์เน็ต และเมื่อมีเวลาว่าง

โดยในปี 2568 ยอดขาย ‘ขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด’ คาดว่าจะโต 0.7% มูลค่า 25,100 ล้านบาท แม้จะเป็นกลุ่มที่โตน้อยกว่าภาพรวมตลาด แต่ขนมกลุ่มนี้มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Brand Power) ทำให้ผู้บริโภคภักดีต่อแบรนด์สูง จึงช่วยรักษายอดขายให้ยังครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุด

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวในไทย ทั้งคนไทยและต่างชาติ  โต 3.2% (ปี 2567 โต 9.8%) มักนิยมบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดไปพร้อมกับการรับชมภาพยนตร์ รายการทีวี วิดีโอ YouTube และการถ่ายทอดสด เช่น กีฬา เพลง เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการจัดฟุตบอลโลก มีการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดไทยเพิ่มขึ้นราว 2 เท่า เทียบกับช่วงเวลาเดียวกับที่ไม่มีการจัดฟุตบอลโลก

ต่อมา ‘ขนมปังกรอบและบิสกิต’ คาดว่าจะโต 2.6% มูลค่า 18,100 ล้านบาท ยอดขายส่วนใหญ่มาจากความเป็นเมือง ซึ่งมีความเร่งรีบในการบริโภคเพื่อรองท้อง หรือทดแทนมื้ออาหารหลัก โดยมักซื้อผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 

แต่ยอดขายขนมปังกรอบและบิสกิต จะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบหลักบางรายการ เช่น น้ำตาลและเนย ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

ตามมาด้วย ‘ขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช’ คาดว่าจะโต 1.9% มูลค่า 6,350 ล้านบาท ประกอบด้วย ขนมขบเคี้ยวที่ทำมาจากสาหร่าย เนื้อปลา/ปลาหมึก/กุ้ง/หมู/ไก่ และถั่ว

ปัจจัยที่สร้างยอดขายมาจากกระแสรักสุขภาพเป็นหลัก เช่น บริโภคโปรตีนมากขึ้น รวมถึงการบริโภคโซเดียมที่ลดลง 

ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการขนมกลุ่มสาหร่ายรายใหญ่ได้ลดโซเดียมลง 50% ขณะที่ขนมกลุ่มมันฝรั่งทอดรายใหญ่ลดโซเดียมลง 30% ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภคขนมกลุ่มสาหร่ายทดแทนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยอดขายขนมกลุ่มนี้อาจจะได้รับผลกระทบจากความต้องการบริโภคของชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มชะลอตัว

ความเสี่ยงของขนมขบเคี้ยวไทย

จำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวในไทยเติบโตไม่มาก ขณะที่จำนวนประชากรไทยลดลงและจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ 5 ปีข้างหน้า คาดว่าการบริโภคขนมขบเคี้ยวของไทยอาจโตต่ำเฉลี่ย 3% ต่อปี 

ต่อมา ภาษีความเค็มในขนมขบเคี้ยว ด้วยการกำหนดเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บให้เป็นรูปธรรมในปี 2568 

ทั้งนี้ ในกรณีของต่างประเทศอย่างฮังการี ได้มีการเก็บภาษีความเค็มจากขนมขบเคี้ยวที่มีเกลือสูงในอัตรา 0.8 ยูโรต่อเกลือ 1 กิโลกรัม ส่งผลให้ยอดขายขนมขบเคี้ยวลดลง 12% 

Related Posts

'อัยยะ ปักษ์ใต้ 2 FLY 2 SOUTH NOW FESTIVAL II' ชวนชาวกรุงสัมผัสเสน่ห์แดนใต้ใจกลางเมือง
ยกระดับถั่วพื้นบ้านสู่ซูเปอร์ฟู้ด “พาสต้าถั่วเขียวออร์แกนิก” จาก SMEs ไทย ที่รับซื้อผลผลิตปีละ 30 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรในจังหวัดบ้านเกิดปีละ 6 ล้านบาท!