คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด จัด “โครงการเติมรอยยิ้ม ปันน้ำใจ สู่สังคม ปี1” เพิ่มโอกาส เพิ่มขนาดความฝัน
บริษัท คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์นมผง ผงชาเขียว โกโก้ และกลุ่มผลิตภัณฑ์แดรี่โปรดักต์ และเป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร และขนมขบเคี้ยวแบรนด์ดังจากต่างประเทศ
เป็นองค์กรที่เห็นความสำคัญในเรื่องของการทำกิจกรรม CSR มีวัฒนธรรมองค์กรแบบ Diversity คือ มุ่งเน้นการทำงานแบบเคารพในความหลากหลายแบบมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พนักงานทั้งองค์กรมีทัศนคติที่ดี สามารถส่งต่อพลังด้านบวกไปถึงสินค้า ด้วยการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ให้ถึงมือลูกค้าด้วยมาตรฐานและคุณภาพที่ดี อีกทั้งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นทำสาธารณประโยชน์เพื่อคืนกำไรสู่สังคม
“คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด” ดำเนินธุรกิจโดยเพิ่งครบรอบ 10 ปี เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 และเป็นที่ทราบกันดีในองค์กรเกี่ยวกับบทบาทและมุมมองของผู้บริหารสูงสุดในด้านการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม มาจาก คุณกมลรัตน์ แพเพชรทอง หรือ “คุณแอน คชเชอร์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด จำกัด ที่มุ่งเน้นการคืนกำไร ตอบแทนสู่สังคมเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม
โดยโครงการที่ คชเชอร์ฯ มีส่วนช่วยกับสาธารณะ เกิดจากช่วงวิกฤตน้ำนมดิบล้นตลาด เนื่องจากสภาวะโควิด-19 ระบาดหนัก โรงเรียนส่วนใหญ่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอน จึงเป็นความช่วยเหลือจนทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ความตั้งใจในการสร้างแบรนด์ “อีสฟิลด์” จนประสบความสำเร็จด้านยอดขายและเป็นที่รู้จักภายใน 1 ปี โดยเพิ่งจัดงานครบรอบ 1 ปี ให้กับ “อีสฟิลด์” ในเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา
ผลกระทบจากวิกฤตที่มีระยะเวลายาวนานกว่า 2 ปี ช่วงปี 2563-2564 ครั้งนั้น คือจุดเริ่มต้นของคชเชอร์ฯ ในการช่วยเหลือเกษตรกร โดยการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด โดยตัดสินใจเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมยูเอชที ศึกษาทำการตลาดจนได้จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้น้ำนมดิบเพียง 8% นมโคแท้ 100% พลิกวงการสร้างมาตรฐาน ยกระดับคุณภาพให้กับนมยูเอชที
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ “อีสฟิลด์” นมโคแท้ 100% ที่อร่อยที่สุดและมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ออกวางตลาด 2 สูตรคือ สูตรออริจินอล รสจืด และสูตรแลคโตสฟรี รสจืด เป็นนม UHT ที่มีจุดแข็งและศักยภาพที่ดีในวัตถุดิบ โดยเปิดตัวในช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ยอดขายทะลุเป้า จำหน่ายได้ 1,000,000 กล่องภายใน 1 ปีจนถึงปัจจุบัน
ทางบริษัท คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด จำกัด จึงยังคงสานต่อกิจกรรมโครงการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ วัตถุประสงค์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการให้ จึงเกิด “โครงการเติมรอยยิ้ม ปันน้ำใจ สู่สังคม ปี 1” ในการคัดเลือกโรงเรียนต่างจังหวัดที่ขาดแคลน ในครั้งนี้ทางบริษัทฯ เลือกให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียนบ้านโป่งหวาย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจุดเริ่มต้นการทำ CSR ของปีนี้
โดยมอบหมายให้ คุณธนกร เลี้ยงองอาจ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด จำกัด พร้อมทีมงานเดินทางลงพื้นที่จุดหมาย โรงเรียนบ้านโป่งหวาย หมู่ที่ 5 บ้านโป่งหวาย ตำบลด่านแม่แฉลบ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี
คุณธนกร กล่าวถึงเกณฑ์การคัดเลือกโรงเรียนว่า “เกณฑ์การคัดเลือกโรงเรียน ทางคชเชอร์ฯ เข้าช่วยเหลือโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีนักเรียนที่ยังต้องการโอกาส รวมไปถึงการเล็งเห็นความสำคัญของคุณภาพชีวิต ซึ่งนมยูเอชทีเป็นเครื่องดื่มที่มีสารอาหารที่จำเป็นในการบริโภค
โดยโรงเรียนบ้านโป่งหวาย จังหวัดกาญจนบุรี ให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ลี้ภัยติดชายแดน จึงมีนักเรียนที่มาจากต่างด้าว เราจึงเห็นได้ว่าทางโรงเรียนสนับสนุนการศึกษา กิจกรรมที่พัฒนานั้นทำเพื่อผู้ขาดโอกาสอย่างแท้จริง จึงตัดสินใจเลือกเดินทางไปมอบความช่วยเหลือให้แก่โรงเรียนบ้านโป่งหวาย
โดยมีจำนวนเด็กนักเรียน 160 คน พร้อมครูและบุคลากร บริษัทฯ เลือกมอบ นม “อีสฟิลด์” ให้กับนักเรียน เพราะนมของเราไม่ผสมนมผง เป็นนมโคแท้ 100% มีประโยชน์ เหมาะแก่การเติบโตของเด็กอย่างสมวัย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายขององค์กรที่ต้องการส่งต่อการให้เพื่อตอบแทนสู่สังคม และมั่นใจว่าจะมีกิจกรรมตอบแทนสังคม ทำดีร่วมกันแบบนี้อีกในปีถัดไป”
ในปีนี้เป็นการลงพื้นที่เป็นครั้งแรกที่ทางฝ่ายการตลาด บริษัท คชเชอร์ โกลบอล ฟู้ด จำกัด ร่วมออกเดินทางสู่ โรงเรียนบ้านโป่งหวาย ในงานมีกิจกรรมเพิ่มเติมที่ทางโรงเรียน และบริษัทฯ จัดเพื่อสันทนาการให้แก่เด็กนักเรียนกว่า 160 คน
โดยมีกิจกรรมดังนี้ นักเรียนชั้น ป.1-ป.3 วาดภาพในหัวข้อ “สนามเด็กเล่นของฉัน” เกณฑ์การตัดสิน : Concept, ทักษะ รางวัลละ 500 บาท 6 รางวัล + นมอีสฟิลด์ สูตรออริจินอล 1 ลัง นักเรียนชั้น ป.4-ป.6 เรียงความหัวข้อ “ความสุขของฉัน” ความยาว 1 หน้ากระดาษ A4 เกณฑ์การตัดสิน : สอดคล้องกับหัวข้อ, การสะกดคำ รางวัลละ 500 บาท 6 รางวัล + นมอีสฟิลด์ สูตรออริจินอล 1 ลัง
ความพิเศษของการทำ CSR ในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้ลงพื้นที่เดินทางไปยังบ้านของนักเรียน และผู้ปกครองที่ได้รับเลือก โดยเพราะส่วนหนึ่งคือขาดแคลน และเด็กนักเรียนมีผู้ปกครองเป็นที่นับถือของชุมชนที่มีกลุ่มสมาชิกอาศัยอยู่ หลากหลายสัญชาติ อยู่กันอย่างสามัคคี อาทิ ครอบครัว สัญชาติพม่าและลาว โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้โดยประมาณ 30 ครัวเรือน
โดยทางบริษัทฯ มอบนม “อีสฟิลด์” จำนวน 5 ลัง พร้อมเงินบริจาคส่วนหนึ่ง เพื่อมอบให้กับครอบครัวของนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกในด้านจิตอาสา และผู้ปกครองดีเด่น โดยบ้านที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากทางโรงเรียน คือบ้านที่มีเกณฑ์ผ่านการพิจารณานั้น ถูกเลือกเพราะ เห็นความตั้งใจ และให้ความสำคัญกับบุตรหลาน ให้ได้รับการศึกษาเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
ทั้งนี้ มีการเยี่ยมบ้านพร้อมมอบนม “อีสฟิลด์” และทุนการศึกษาส่วนหนึ่งให้กับนักเรียนผู้ได้รับการคัดเลือก โดยทางแบรนด์ ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมและพูดคุยกับครอบครัวของนักเรียน และได้รับการตอบรับจากครอบครัวที่ได้ลองชิมนม ชื่นชอบรสชาติ นมอีสฟิลด์ โดยคุณครูและนักเรียน พร้อมผู้ปกครอง ได้กล่าวคำขอบคุณทีมงานก่อนที่จะเดินทางกลับ
ทางบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การตอบแทนสู่สังคมกับ “โครงการเติมรอยยิ้ม ปันน้ำใจ สู่สังคม ปี 1” ครั้งนี้จะส่งผลให้องค์กรเกิดการพัฒนาในรูปแบบของการเกิดวัฒนธรรมองค์กรและการให้ที่ยั่งยืนต่อไป
หลายคนในแวดวงธุรกิจอาหารเริ่มออกมาพูดถึงเหตุการณ์เศรษฐกิจที่ถดถอยลง ส่งผลกระทบถึงหลายๆ ร้าน ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารสตรีตฟู้ด คาเฟ่ หรือแม้กระทั่งร้านอาหารมิชลินต่างก็เจอกับยอดขายที่ลดลงเกือบ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าปีนี้คำว่า “เผาจริง” ไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรย แต่กำลังจะกลายเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจริง ที่จะส่งผลกระทบทุกหย่อมหญ้า ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขายที่ลดลงเท่านั้น แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือ ‘พฤติกรรม’ ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากเดิม ที่พร้อมจ่ายเพื่อรับประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหาร แต่ตอนนี้หลายคนเริ่มหันมาจับจ่ายแบบระมัดระวังมากขึ้น เช่น การเลือกทำกับข้าวกินเองที่บ้าน หรือเลือกใช้บริการสั่งอาหารผ่านดีลิเวอรี แทนการไปนั่งกินที่ร้าน โดยเสียงสะท้อนจากหลายๆ ผู้ประกอบการ ณ ตอนนี้ มักจะแนะนำว่า “ถ้ามีเงินก้อนตอนนี้ อย่าเพิ่งลงทุนอะไรหนักๆ เก็บเงินสดไว้ก่อนจะดีกว่า” นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงนี้สินค้าหรือวัตถุดิบก็ได้มีการปรับขึ้นราคากันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีในเรื่องของภาษีจากสหรัฐฯ ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และเมื่อต้นทุนสูงขึ
ปัจจุบันไม่ต้องมีอุปกรณ์เยอะแยะมากมายก็สามารถสร้างคลิปที่อลังการเสมือนจริงได้ โดยใช้เครื่องมือการสร้างวิดีโอด้วย AI เป็นการสร้างจาก Promt โดยสามารถพิมพ์คำอธิบายอย่างรายละเอียด และให้ AI ทำการประมวลผลวิดีโอจากข้อความที่ได้รับ โดยไม่ต้องมีนักแสดง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงก็สามารถสร้างคลิปตามแบบที่ต้องการได้ นอกจากนี้ Canva AI ยังสามารถให้อวาตาร์บรรยายหรือพูดตามสคริปต์ได้ มีเสียงให้เลือกว่า 300 รายการ และมีภาษาให้เลือกกว่า 40 ภาษา ทำให้สามารถสร้างวิดีโอแบบฉบับสมบูรณ์ได้ไม่กี่นาที โดยไม่ต้องอัดเสียงพูดเอง ซึ่งจะได้ความยาวของวิดีโอทั้งหมด 8 วินาที ตอนนี้สามารถทดลองใช้ได้จำนวน 5 ครั้งต่อเดือน คุณภาพคลิประดับ 1080p เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการทำคอนเทนต์ หรือผู้ประกอบการที่อยากใช้ AI เข้ามาช่วยโปรโมตสินค้า เป็นต้น หมายเหตุ : ฟังก์ชัน Canva AI สามารถใช้ได้เฉพาะผู้ที่สมัคร Canva Pro เท่านั้น และต้องทำการตั้งค่าบัญชีเป็นภาษาอังกฤษก่อน ขั้นตอนการทำ 1. เปิด Canva เพื่อเข้าถึงเครื่องมือสร้างข้อความเป็นวิดีโอด้วย AI 2. คลิก Magic Media เพื่อเริ่มกระบวนการสร้างวิดีโอ AI 3. ใส่คำอธิบายรายละเอียดขอ
Reborn 2009 (รีบอร์น สองพันเก้า) คือชื่อแบรนด์ของผู้ผลิตงานศิลป์ในรูปแบบ “ประติมากรรม” มีวัสดุหลักเป็นกระดาษรีไซเคิล และเสริมด้วยเทคนิค “ไฟเบอร์ซีเมนต์” ก่อนนำมาทำเป็นของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก และสินค้าทำมือ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความเป็นไทยและร่วมสมัย ไม่ซ้ำใคร ภายใต้สีสันของ “สนิมเขียว” ที่ผ่านมา ประติมากรรมจากกระดาษรีไซเคิลนี้ เคยถูกส่งเข้าประกวดในเวที “รักษ์โลก” มาแล้วทั้งในระดับจังหวัดและประเทศ และพิชิตรางวัลมาแล้วหลายครั้ง อาทิ รางวัลที่ 1 และที่ 3 การประกวดวัสดุเหลือใช้ ปี 2552 ของสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร รางวัลที่ 1 การประกวดวัสดุเหลือใช้ ปี 2553 ของสำนักสิ่งแวดล้อม ระดับจังหวัด และ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 การประกวดวัสดุเหลือใช้ ปี 2553 ระดับประเทศ คุณอเล็กซ์-สมยศ สวัสดี วัย 50 ปี เจ้าของผลงาน Reborn 2009 กรุณาสละเวลามานั่งพูดคุยกัน ด้วยอัธยาศัยยิ้มแย้ม เริ่มต้นย้อนความเป็นมา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนหน้านี้เคยทำงานประจำในแวดวงคนโฆษณาอยู่กว่า 10 ปี พออายุย่างเข้า 40 กลางๆ จึงเบนเข็มออกมาทำงานศิลปะที่ถนัด ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ หลังออกจากงานประจำ คิดเปิ
หยิบขยะมาสร้างรายได้! หนุ่มวัย 15 จุดประกายงานเสริม ซ่อมคอมพ์มือสอง บริจาคไปแล้วกว่า 3,000 เครื่อง ให้คนเข้าถึงการศึกษา มีงานทำ ไดแลน ซาจัค วัย 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จาก Babson College เขาได้เล่าย้อนไปเมื่อตอน 15 ปี เขามีอาชีพเสริมคือการซื้อของมือสองและซ่อมคอมพิวเตอร์ งานเสริมนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาก่อตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรขึ้น ชื่อว่า ‘Computers 4 People’ ซึ่งจะจัดหาคอมพิวเตอร์ที่ทำการซ่อมแซมแล้วให้กับผู้ที่ต้องการใช้ จุดเริ่มต้นงานเสริม เขาเล่าว่า เริ่มด้วยการไปร้านขายของมือสองแถวบรูกลิน นิวยอร์ก กับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย ตอนนั้นเป็นแค่งานอดิเรกสนุกๆ “เราจะนั่งรถไฟจากโฮโบเกน แล้วสเกตบอร์ดไปตามร้านขายของมือสองทีละร้าน โดยเราจะไปถึง 3 ร้าน หรือมากกว่านั้นภายในวันเดียว” โดยเมื่อไปถึงร้าน จะทำการค้นหาของมีค่าที่ซ่อนอยู่ในกองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่าๆ เมื่อเจอของมีค่า ก็จะทำการต่อรองราคาอย่างหนัก เพื่อให้ได้ของดีมา “บางวันเราซื้อคอมพิวเตอร์เยอะมากจนต้องกองมันไว้บนสเกตบอร์ดแล้วเข็นกลับบ้าน” เมื่อได้คอมพิวเตอร์มาแล้ว ก็จะทำความสะอาด ซ่อมแซม และขายต่อบน Facebook Marketplace หรือ eBay และ
