เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
Featured PR News

คนไทยเริ่มหันมาสนใจ ‘ซื้อบ้านเดี่ยว’ มากขึ้น ขณะที่ความต้องการ ‘ซื้อคอนโด’ ลดลงถึง 14%

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการปรับตัวทั้งในฝั่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ แม้จะมีความท้าทายแต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในเดือนเมษายน 2568 สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทย พบว่า จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 7% จากเดือนก่อนหน้า (MoM) และเพิ่มขึ้นถึง 25% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ว่าจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ พบว่า ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมลดลง 14% (MoM) เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารสูงเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับอานิสงส์ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 8% (MoM) และทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น 6% (MoM) 

ทั้งนี้ ความต้องการซื้อส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีสัดส่วนถึง 46% แต่ระดับราคาที่มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% (MoM)

ขณะที่ความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 23% (MoM) โดยเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย ทาวน์โฮมเพิ่มขึ้นมากที่สุด 31% (MoM) ตามมาด้วยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 23% (MoM) และบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 11% (MoM) 

ส่วนระดับค่าเช่าส่วนใหญ่อยู่ที่ 10,000-20,000 บาท/เดือน มีสัดส่วน 36% โดยระดับค่าเช่าที่มีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ มากกว่า 30,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 28% (MoM) สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยยังคงเติบโต เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะทำโปรโมชันดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและนักลงทุน

5 ขั้นตอนวางแผนซื้อบ้านใหม่อย่างคุ้มค่า

ท่ามกลางปัจจัยบวกที่เอื้อต่อการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคต้องไม่ลืมว่าหัวใจสำคัญของการซื้อที่อยู่อาศัยนั้นยังคงอยู่ที่การวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ดังนี้

1. เลือกที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับรายได้ ผู้บริโภคควรเลือกบ้าน/คอนโด ที่เหมาะสมกับสถานภาพทางการเงินเป็นหลัก โดยนำรายรับหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วในแต่ละเดือนมาคำนวณวงเงินกู้สูงสุดที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อหางบประมาณที่เหมาะสมในการซื้อที่อยู่อาศัย จากนั้นจึงพิจารณาความต้องการและไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัวเพื่อเลือกประเภทที่อยู่อาศัยและทำเลที่ตอบโจทย์ 

2. เรียนรู้การสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคง เนื่องจากอสังหาฯ ถือเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและผ่อนชำระยาวนาน จึงจำเป็นต้องมีแผนการเงินที่รอบคอบเพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงินในอนาคต โดยผู้บริโภคควรเก็บออมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านทั้งในส่วนเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ ผู้กู้ควรมีรายจ่ายไม่เกิน 40% ของรายได้ รวมไปถึงมีการออมเงินเพื่อเป็นกองทุนสำรองในกรณีฉุกเฉิน โดยควรตั้งเป้าหมายในการออมเงินสำรองให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน ก่อนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย

3. เครดิตการเงินดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ประวัติการเงินที่ดีถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อง่ายขึ้น ผู้บริโภคควรเริ่มสร้างประวัติทางการเงินที่ดีโดยชำระหนี้ต่างๆ ให้ตรงเวลา และพยายามลดภาระหนี้ที่ไม่จำเป็นให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระหนี้และลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธสินเชื่อ โดยธนาคารส่วนใหญ่จะพิจารณาความสามารถในการจ่ายชำระหนี้คืนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ประกอบกับอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio : DSR) รวมถึงความมั่นคงของรายได้ที่ผู้กู้จะนำมาชำระหนี้ในอนาคต เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงินก่อนพิจารณาอนุมัติสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ของธนาคารต่อไป  

4. เช็กให้ชัวร์ก่อนยื่นกู้ด้วย “Pre-approve” การทำ Pre-approve สินเชื่อบ้าน หรือการยื่นประเมินสินเชื่อที่อยู่อาศัยในเบื้องต้นกับธนาคาร เป็นการขอตรวจสอบสถานภาพทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะพิจารณาจากราคาขายที่อยู่อาศัยที่ผู้ขอสินเชื่อแจ้งไว้ ประกอบกับรายได้-รายจ่าย รวมทั้งเครดิตหรือความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ หากทำ Pre-approve ผ่าน หมายความว่าผู้บริโภคมีโอกาสที่จะขอสินเชื่อผ่านสูง แต่ถ้าผลไม่ผ่านก็ยังไม่ควรที่จะซื้อในเวลานี้

นอกจากนี้ ข้อดีของการทำ Pre-approve คือทำให้ผู้บริโภคทราบว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในวงเงินประมาณนี้หรือไม่ ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นในการวางแผนขอวงเงินสินเชื่อและการเลือกธนาคาร หรือหาก Pre-approve ไม่ผ่าน ก็ช่วยให้ทราบว่าต้องปรับปรุงส่วนใดเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ และนำไปแก้ไขก่อนยื่นกู้จริงในอนาคต

5. เปรียบเทียบโปรโมชันเด็ด คว้าดีลที่ดีที่สุด ผู้บริโภคจึงควรติดตามโปรโมชันของโครงการต่างๆ ตั้งแต่เริ่มวางแผนซื้อเพื่อไม่ให้พลาดข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยเฉพาะโครงการที่ร่วมมือกับธนาคารต่างๆ ให้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษซึ่งจะมีระยะเวลาโปรโมชันเพียงชั่วคราว จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบว่าโปรโมชันจากโครงการใดที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ได้ครอบคลุมมากที่สุดทั้งด้านการเงิน ทำเล และไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรทำความเข้าใจเงื่อนไขและรายละเอียดของโปรโมชันต่างๆ อย่างละเอียด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามพนักงานก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในภายหลัง 

แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านทั้งการวางแผนทางการเงิน การสร้างเครดิตที่ดี การศึกษาข้อมูลโครงการ และการพิจารณาโปรโมชันอย่างรอบคอบ ล้วนเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยต่อเติมให้การมีบ้านในฝันของทุกคนเป็นจริงได้ในเร็ววัน

Related Posts

ภาพบรรยากาศในงานปี 2024