How to
ไก่ย่างที่ไหนๆ เราก็เห็นกันมาแล้ว ไก่ย่างชื่อดังๆ เราก็เคยเห็นเคยได้กินมาแล้ว ไก่ย่างคู่กับข้าวเหนียวส้มตำถามใครๆ ก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ทุกคนเคยกินกันมาแล้วทั้งนั้น อดีตสาวห้างคนหนึ่งผันชีวิตออกมาอยู่บ้านนอก ทำไก่ย่างธรรมดาขายริมถนน ปรากฏว่าขายไม่ค่อยดี จึงมีแนวคิดต่อยอดจากการปิ้งไก่ย่างเป็นตัวๆ หันมามองเห็นไม้ไผ่สีสุกข้างบ้านลำใหญ่ ถ้าหากเอาไก่คลุกสมุนไพรยัดใส่ในกระบอกไม้ไผ่ เหมือนกับที่เราเผาข้าวหลามมันน่าจะหอมชวนกินมากกว่านี้ เพราะกระบอกไม้ไผ่มีเยื่อหุ้มขาวๆ อยู่ข้างในจึงทดลองทำดู ปรากฏว่าวางขายคู่กับไก่ย่างแบบเก่าเสียบไม้ พอดีมีลูกค้าแวะซื้อและสอบถามว่ากระบอกอะไร จึงบอกไปว่าไก่กระบอก ลูกค้าเห็นแล้วทึ่งเลยลองซื้อกินและบอกต่อๆ กันไป เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มีความคิดแปลกกว่าคนอื่น เลยกลายเป็นสินค้าตัวใหม่ในสายตาของนักกินนักเที่ยว คุณจรัส อินทร์ดี อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 หมู่ที่ 6 ตำบลหนองแก อำเภอหนองนาคา จังหวัดอุดรธานี คือเจ้าของผลงานที่แนะนำมา คุณจรัส บอกว่า รู้สึกดีใจที่ทำไก่กระบอกออกขายได้ รู้สึกดีใจที่ลูกค้ารู้จักไก่กระบอกของเธอและชื่นชมในความคิดที่แปลกๆ…คุณจรัส บอกว่า
ร้านอาหารมุสลิมในกาญจนบุรีมีเยอะแยะมากมายหลายร้าน แต่ใครจะรู้บ้างละครับว่าร้านอาหารมุสลิมในกาญจนบุรีนั้น ร้านไหนจะอร่อยถูกใจ ถ้าไม่ได้เป็นเห็นด้วยตา ชิมด้วยปากและรับรู้กลิ่นหอมๆ น่าทานด้วยตัวเอง วันนี้ มติชนออนไลน์ ขอแนะนำ 10 เมนูอาหารมุสลิมในกาญจนบุรีที่ไปแล้วต้องไม่พลาดต้องไปลิ้มรสอาหารต้นตำรับแท้ๆ พร้อมกับชมบรรยากาศของเมืองที่น่าเที่ยวตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่กี่ชั่วโมงก็เดินทางไปถึงได้อย่างสบายๆ จะมีเมนูอะไรน่าสนใจบ้างชมภาพพร้อมคลิปกันเลยครับ… ดา ดา โรตีโอ่ง ข้าวหมกไก่ ตลาดท่าม่วง ซุปหางวัว ตลาดท่าม่วง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ตลาดท่าม่วง ไก่ทอดบังสัน ตลาดโต้รุ่ง ข้าวหมกไก่บังสัน ตลาดโต้รุ่ง เนื้อทอดแดดเดียว ครัวซุเบรฟาร์ม กะเพราเนื้อสับ ครัวซุเบรฟาร์ม สเต๊กเนื้อ ครัวบ้านสวนไผ่ สปาเกตตีคาโบนาร่า ครัวบ้านสวนไผ่ ส้มตำ ครัวฮาลาล ผัดไทยกุ้งสด ครัวฮาลาล
อาจคุ้นตากันดี สำหรับขนมหวานอย่าง วุ้นน้ำมะพร้าวบรรจุถ้วย ตรา แม่ละมาย ซึ่งวางขายอยู่เป็นประจำในตู้แช่ของร้านสะดวกซื้ออย่าง เซเว่นอีเลฟเว่น ผลิตภัณฑ์นี้ มี คุณวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งในแวดวงคนทำมาค้าขาย หลายต่อหลายคนยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งใน “เอสเอ็มอี ไอดอล” ด้วยเหตุผลเป็นคน “เคยล้ม” แต่สามารถ “ลุกขึ้น” ได้อย่างสง่างาม มาจนถึงทุกวันนี้ “กิจการโรงพิมพ์ของผมค่อนข้างไปได้ดี กระทั่งปี 2540 มาเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ขณะกำลังเตรียมขยายงาน เหมือนตึกถล่มลงมาเลย เจ๊งแบบไม่มีอะไรเหลือ ยอมรับว่าหมดตัวจริงๆ” คุณวีระ ย้อนความทรงจำเสียงหม่น ก่อนเล่าต่อ ช่วงนั้นกลับมาตั้งหลักที่จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านเกิดของภรรยา เพื่อหารือกันจะทำอะไรต่อดี ก่อนตั้งคำถามกับตัวเอง มีความถนัดอะไร ได้คำตอบ มีความถนัดในการทำอาหาร เลยลงทุนใหม่ด้วยการเปิดร้าน “ปิ้งไก่” ขายหน้าบ้าน ริมถนนสายสุพรรณบุรี-ชัยนาท “เอาถัง 200 ลิตรมาผ่าครึ่งทำเป็นเตา ปิ้งไก่ขาย 2 คนกับแฟน ลูกค้าเยอะนะ บางคนขับรถเบนซ์มาซื้อ หลายคนชมว่ารสชาติดี เลยคิดว่ามาถูกทาง ค้าขายของกินดีกว่า” เจ้าของเรื่องราว เล่า แต่อาชีพ “ปิ้งไก่” ขายนั้น คุณวีระ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งของการล้อมรั้วกระแสไฟฟ้า เพื่อป้องกันทรัพย์สิน ในบ้านเรือน โรงงาน โรงเก็บของ เรือกสวนไร่นา กระทั่งมีคนได้รับบาดเจ็บหรือกระทั่งเสียชีวิต ในกรณีดังกล่าว ในแง่ของกฎหมายแล้ว กรณีใดที่จะเข้าข่ายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือกรณีใดที่จะเป็นการเจตนาทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องพิจารณา ข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆไป โดยอาจแยกได้เป็น 3 กรณีคือ ๑.ผิดตามปอ. มาตรา ๒๙๐ เจตนาทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย มาตรา ๒๙๐ ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ดังเช่น ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2528 การที่ ส. ผู้ตายได้เข้าไปในบริเวณบ่อปลาของนายจ้างของจำเลยเพื่อจะเกี่ยวหญ้า ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิทำร้ายผู้ตายได้เมื่อจำเลยขึงลวดไว้ภายในรั้วลาดหนามที่ล้อมรอบบริเวณบ่อเลี้ยงปลาของนายจ้างและปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปตามลวดนั้นผู้ตายมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
จากประเด็นที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในเวลานี้ในเรื่องการใช้กฎหมายอาญา “ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” นั้น ในเรื่องดังกล่าว อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 อนุ 4 ดังนี้ มาตรา ๒๘๙ ผู้ใด …. (๔) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และมีโทษบัญญัติไว้ใน วรรค 2 นั้นคือ ต้องระวางโทษประหารชีวิต จะเห็นได้ว่า เป็นโทษขั้นสูงสุด และเป็นโทษที่จะลงได้สถานเดียวซึ่งต่างจาก การฆ่าตามปกติ ในมาตรา 288 ที่ว่า มาตรา ๒๘๘ ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ตัวอย่าง คำพิพากษาของศาลฎีกา ในเรื่องการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เช่น คำพิพากษาฎีกา 3576/2533 “ขณะจำเลย ผู้ตาย และพวกนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกัน ผู้ตายพูดว่า จำเลยหัวล้านหรอยจัง แล้วใช้มือลูบศีรษะจำเลย จำเลยลุกจากวงสุราไป ต่อมาประมาณ 15 นาที จำเลยถือปืนแก๊ปยาวมายิงผู้ตายถึงแก่ความตาย กรณีมิใช่โทสะที่พุ่งขึ้นเฉพาะหน้าขณะที่ผู้ตายใช้มือลูบศีรษะจำเลย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนมายิงผู้ตายทันที แต่เป็นกรณีที่จำเลยเกิดโทสะแล้วออกจากวงสุราไป เกิดความคิดจะฆ่าผู้ตายในภายหลัง และเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยจะต้องคิดไตร่ตรองตัดสินใจอย่างหนั
กรณีที่มี คนตะโกนขึ้นมาว่า “ตำรวจมา” เพื่อส่งสัญญาณให้กับนักพนันหนีการจับกุมของตำรวจนั้น เป็นความผิดลักษณะของการช่วยด้วยประการใดๆแก่ผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ดังคำพิพากษา 2448/2521 เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าทำการจับกุมพวกลักลอบเล่นการพนันไฮโลว์โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลย ร้องบอกพวกที่เล่นการพนันดังกล่าวว่า “ตำรวจมา ตำรวจมา” พวกที่เล่นการพนันบางคนหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานไปได้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ร้องบอกพวกที่เล่นการพนันดังกล่าว ก็ด้วยมีเจตนาที่จะให้ผู้เล่นการพนันรู้ตัวเพื่อจะหลบหนีไป การกระทำของจำเลยจึงเข้าลักษณะของการช่วยด้วยประการใดๆ แก่ผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 บัญญัติว่า ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือป
การริบทรัพย์ในคดีอาญา จากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒ บัญญัติ ว่า ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิด และมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ขณะเดียวกัน ใน มาตรา ๓๓ บัญญัติว่า ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย คือ (๑) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือ (๒) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด เว้นแต่ ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ทั้งนี้ มีคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องดังนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6736/2558 รถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ขับในขณะเมาสุรา และขับรถหลบหนีด้วยความเร็วสูงโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ถือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรงอันพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2380/2539 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์แข่งในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึด
เรื่องของการรอลงอาญา ในภาษาที่เรียกกันทั่วไป หรือ การรอการลงโทษ ในภาษากฎหมาย ปัจจุบันกำหนดไว้ดังนี้ “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ วรรคแรก ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสามปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ เมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือ สภาพความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว เห็นเป็นการสมควร ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้น มีความผิดแต่รอการกำหนดโทษไว้หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษาโดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้ ดัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ที่ ๗๖๖๓/๒๕๔๘ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคหนึ่ง จำคุกสี่ปี คำให้การและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ
จากการที่มีข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า มีคนลักมะพร้าว แล้วเจ้าทรัพย์เรียกเงินหลักหมื่น คนที่ลักมะพร้าวไม่มีเงินจ่าย เลยต้องถูกดำเนินคดี เรื่องดังกล่าวนี้ มีคำถามว่า เป็นไปได้ในทางกฎหมายหรือไม่ การที่จะทราบคำตอบนี้ ต้องดูหลักในทางกฎหมายประการหนึ่งนั่น คือ ความผิดอาญา อาจแบ่งได้เป็น 1.ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ และ2. ความผิดอาญาแผ่นดิน ที่ไม่สามารถยอมความได้ ความผิดฐานลักทรัพย์ มีบัญญัติอยู่ใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท ความผิดในหมวดนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดที่ยอมความได้ ดังนั้น ความฐานลักทรัพย์จึงเป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ เมื่อเป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ จึงไม่อาจตกลงกันได้ในชั้นพนักงานสอบสวน นั่นหมายความว่า พนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนแล้ว สรุปสำนวนเสนอความเห็นไปที่พนักงานอัยการเพื่อจะวินิจฉัย ว่าควรจะมีคำสั่งว่าจะฟ้อง หรือไม่ฟ้อง อันเป็นการดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไป ความผิดฐานลักทรัพย์ พนักงานสอบสวนไม่สามารถเปรี
กรณีที่รถยนต์กับรถไฟชนกันที่บริเวณจุดตัดทางรถยนต์และทางรถไฟที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้น การจะตัดสินว่าใครประมาท ใครเป็นฝ่ายผิดต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป ดังเช่น หากบริเวณจุดตัดนั้นมีเครื่องกั้นโดยพนักงานการรถไฟ แต่พนักงานประจำเครื่องกั้นหลับ หรือเมา ไม่ทำหน้าที่จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น พนักงานขับรถเห็นรถติดคร่อมทางรถไฟอยู่ แต่ยังขับมาด้วยความเร็วสูง ลักษณะนี้อาจเป็นได้ว่า ฝ่ายรถไฟเป็นฝ่ายประมาท แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป เช่น แม้ไม่มีแผงกั้น แต่มีป้ายเตือนให้หยุดรถ แต่ฝ่ายรถยนต์ฝ่าฝืนป้ายหยุด แถมขับตัดหน้ารถไฟในระยะกระชั้นชิด กรณีนี้อาจกล่าวได้ว่าฝ่ายรถยนต์เป็นฝ่ายประมาท ดังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2534 “ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมีป้ายจราจรติดตั้งไว้ 2 ป้าย ป้ายแรกเขียนว่า ให้ “ระวังรถไฟ” และอีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “หยุด” แต่จำเลย (ขับรถยนต์) ไม่ได้หยุดรถ และเมื่อเห็นรถไฟแล่นมาขณะอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร จำเลยเร่งเครื่องยนต์เพื่อขับข้ามทางรถไฟให้พ้น แต่ไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนกับรถไฟ ดังนี้ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร กลับฝ่าฝืนและเสี่ยงภัยอย่างชัดแจ้ง ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยขับรถด้วยคว