อาหารสร้างอาชีพ
เชื่อว่าน้องๆ หลายคน คงอยากหารายได้พิเศษไว้เป็นทุนขวัญถุงตอนเปิดเรียน บ้างไปทำงานล้างจาน แจกใบปลิว เป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ตามแต่ถนัด แต่สำหรับ น้องอุ่น – ณัชพร กลิ่นรอดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จังหวัดพิษณุโลก อาจแตกต่างไปมาก หากเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน เพราะเธอมี “จ๊อบ” สำคัญ ซึ่งทำกำไรได้เกือบ 200 บาททุกวัน ควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือตามปกติ ส่วนงานทำเงินดังว่า มีรายละเอียดความเป็นมาอย่างไร ติดตามได้นับจากนี้ เพื่อนเรียกร้อง ฝีมือพอตัว “จบม.3 แล้วค่าาาาา หายหน้าหายตาไปนาน เพราะแม่ค้าสอบค่ะอยากจะตั้งใจสอบให้เต็มที่ แม่ค้าได้รับเหรียญคนดีศรีเฉลิมขวัญด้วยนะคะเป็นนักเรียนที่อยู่ในกฎ ระเบียบของโรงเรียนตลอด 3 ปีแต่ก็ยังจะขายข้าวเหนียวหมูนะคะ” คือข้อความล่าสุดที่ “น้องอุ่น” สื่อสารผ่านทางออนไลน์ ส่งถึงแฟนเพจ ซึ่งมีมากกว่า 4,700 คน โดยเจ้าตัว ย้อนความเป็นมาให้ฟังเกี่ยวกับกิจการ “เหนียวหมูอุ่น” ซึ่งเริ่มทำเมื่อราวเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ตั้งต้นจากการที่เธอมักห่อข้าวไปทานโรงเรียนทุกเช้า เพื่อนๆเห็นเข้าบอกให้ทำมาขาย เพราะอยากทานบ้าง อีกอย่างหลายคนไม่มีเวล
งานวิจัยเด่นอีกชิ้นที่บริษัทเอกชนนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์แล้วคือ โครงการ : การพัฒนาการผลิตฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ผงจากน้ำเชื่อมลำไยด้วยวิธีทางเอนไซม์ และโครงการ : ขยายผลเพื่อสำรวจและทดสอบตลาดของผลิตภัณฑ์พรีไบโอติกฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์จากน้ำเชื่อมลำไย โดย ผศ.ดร.ยุทธนา พิมลศิริผล จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม ในบ้านเรายังไม่มีน้ำเชื่อมลำไยวางขาย เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง ผู้ผลิตจึงเน้นการส่งออกมากกว่า โดยเฉพาะตลาดในสหรัฐอเมริกา ผศ.ดร.ยุทธนาอธิบายว่า งานวิจัยนี้เริ่มจากนำเนื้อลำไยมาคั้นเป็นน้ำแล้วใช้ความร้อนฆ่าเชื้อ และกำจัดตะกอนจากนั้นนำมาระเหยภายใต้สุญญากาศให้เป็นน้ำเชื่อมลำไยเข้มข้นสูง โดยยังคงกลิ่นรสเฉพาะตัวของลำไย ก่อนนำไปทำปฏิกิริยาด้วยกระบวนการทางเอนไซม์ เพื่อเหนี่ยวนำให้น้ำตาลปกติกลายเป็นฟรุกโตสแซคคาไรด์ ซึ่งจะมีคุณประโยชน์มากขึ้น มีความหวานลดลง และเป็นประโยชน์ในเชิงสุขภาพมากยิ่งขึ้น เพราะตัวฟรุกโตสแซคคาไรด์มีความหวานน้อยกว่า ทำให้เอนไซม์ในร่างกายย่อยไม่ได้ แต่จะเป็นอาหารที่ดีสำหรับจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ พอจุลินทรีย์เพิ่มมากขึ้นก็จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ
“อาหารเช้า” นับเป็นมื้อสำคัญที่ทุกเพศ-วัย ไม่ควรละเลย แต่ใครจะเลือกรับประทานแบบไหน ประเทศไทยที่สุดแสนจะอุดมสมบูรณ์นั้น มีเมนูให้เลือกหลายหลาย ไล่ไปตั้งแต่โจ๊ก น้ำเต้าหู้ กาแฟ ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียว-หมูปิ้ง ข้าวมันไก่ ต้มเลือดหมู ฯลฯ และสำหรับ “ไข่กระทะ” อาหารของชาวฝรั่งเศสที่ส่งต่อมายังชาวเวียดนาม เมื่อครั้งประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นนั้น จัดว่าเป็นมื้อเช้าจานเด่น สำหรับคนภาคอีสานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดริมโขง อย่าง อุดรธานี หนองคาย สกลนคร นครพนม ฯลฯ เหตุน่าจะมาจากการที่ชาวเวียดนาม หรือที่มักเรียกกันสั้นๆว่า “คนญวน”อพยพย้ายถิ่นเข้ามาไทย และได้นำวัฒนธรรมการกินดังกล่าวมาด้วย จากนั้นคนไทย จึงทำการประยุกต์ ปรุงแต่งรสชาติ-หน้าตา ให้ถูกปากมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็น “เมนูฮิต”อันดับต้นๆ สำหรับใครหลายคนจนถึงทุกวันนี้ พัฒนาสูตร ได้สไตล์โดนใจ คุณเอ๋ – วลัยพรรณ จารุกิจกุล หุ้นส่วนคนสำคัญ อาสาเป็นตัวแทนให้ข้อมูล เริ่มต้นว่า ผู้ก่อตั้งกิจการนี้ คือ คุณอิท – อิทธิพล โกมลยกุล อายุ 40 ปีเศษ คู่ชีวิตของเธอเอง ซึ่งเคยทำงานประจำอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งกราฟฟิกดีไซน
เอ่ยชื่อ “สุพัฒน์ ธีรภาพสกุลวงศ์” พื้นเพเป็นชาวนครปฐม ทำอาชีพลูกชิ้นหมูขายมานานกว่า 40 ปี เชื่อว่าคนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คงไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครหรือมาจากไหน แต่หากบอก บุคคลดังว่านั้นคือ“เต็กกอ” เจ้าของฉายา “ขุนแผนนครปฐม” หลายคนคงร้องอ๋อ!และอาจบอกต่อได้ด้วยซ้ำว่า ชายผู้โด่งดังท่านนี้ ปัจจุบัน อายุอานามคงราว 72 ปีแล้ว มีภรรยาอาศัยร่วมชายคาเดียวกันถึง 7 คน มีผลงานเป็นลูกชาย-หญิง 22 คน และหลานๆรวมได้ 23 คน นอกจากจะมีความสามารถพิเศษ ในการปกครองคนในครอบครัว ให้ช่วยกันทำมาหากิน อยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว “ลูกชิ้นหมู” ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่ง “ของดี” ซึ่งเกิดจากฝีมือการทำของ “เต็กกอ”จนกลายเป็นอาชีพหลัก สามารถเลี้ยงดูลูก-หลาน ให้ได้รับการศึกษาตามความถนัดชนิดไม่น้อยหน้าใคร แม้จะเริ่มต้นจากโรงงานขนาดเล็กอยู่ในห้องแถว แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความอุตสาหะ กิจการของชายผู้นี้ จึงเติบโตขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันนอกจากโรงงานจะขยายกำลังการผลิตมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ยังมีร้านก๋วยเตี๋ยวที่บรรดาทายาท นำไปต่อยอด กระจายอยู่ตามทำเลต่างๆในจังหวัดนครปฐม สร้างจุดยืน ต้องแตกต่าง กระทั่งปี 25
ในสังคมออนไลน์ ชาวโคราชได้พากันแชร์ข้อมูลชักชวนกันไปชิมสเต็กถาดยักษ์ ที่ร้านลุงเหน่งสเต็กยักษ์ ตั้งอยู่บริเวณทางแยกหัวทะเล ตำบลหัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา กันอย่างแพร่หลาย และมีการกล่าวขานกันขณะนี้ว่า เป็นสเต็กที่มีความหลากหลาย ได้ปริมาณอาหารเยอะที่สุดในประเทศ ผู้สื่อข่าวได้ไปตรวจสอบ พบประชาชนหลากหลายอาชีพมาใช้บริการกันอย่างคึกคัก จากการสอบถามนายพงศ์พิชาญ สัจจขจรกิตติ์ อายุ 29 ปี ชาว ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา เจ้าของร้านลุงเหน่งสเต็กยักษ์ เปิดเผยว่า อดีตเป็นพิธีกรทีมสโมสรฟุตบอล นครราชสีมา มาสดา เอฟซี หรือสวาทแคท ขณะนี้ทำงานเป็นพนักงานช่างระดับ 4 การไฟฟ้า สาขาหัวทะเล และได้เปิดร้านสเต็ก ฯ เพื่อเป็นรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว ในช่วงที่ผ่านมาร้านอาหารในพื้นที่หลายแห่งมีการ นำเสนอการขายอาหาร โดยเน้นให้ปริมาณที่เยอะกว่าปกติ และมีราคาถูกคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นข้าวจานเดียว ก๋วยเตี๋ยว หรือส้มตำถาด ตนต้องการอยากสร้างความแปลก และทางเลือกใหม่ให้กับบรรดานักชิม จึงทำสเต็กถาดจานยักษ์ เพื่อเอาใจคนชอบกินอาหารในปริมาณมาก และหลากหลายในราคาที่คุ้มค่า สำหรับสเต็กถาดยักษ์ ที่เสิร์ฟในถาดขนาดใหญ่เ
ร้านก๋วยเตี๋ยวใบพายไจแอ้นท์ ชามยักษ์ ที่ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อ ลูกชิ้น ในชามสั่งพิเศษ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร สูง 13 เซนติเมตร เฉพาะเส้นและเนื้อลูกชิ้น มีน้ำหนักร่วม 2 กิโลฯ ราคาชามละ 600 บาท แต่ทางร้านท้าทายว่า หากลูกค้าคนใดสามารถกินหมดภายในเวลา 35 นาที จะให้กินฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน พร้อมรับรางวัลผู้พิชิต ฮอลล์ ออฟ เฟม จากทางร้านไปเลย ตลอดทั้งวัน นอกจากลูกค้ามาทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อ น้ำซุปเครื่องยาจีนรสชาติกลมกล่อมที่ร้านเป็นจำนวนมากแล้ว ก็มีส่วนหนึ่งรับคำท้ากินก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์กันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตามยังไม่มีลูกค้าคนใดสามารถทานหมดใน 35 นาที แต่มีลูกค้าที่สนใจมากขอถ่ายภาพและเช็กอินกับก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ด้วย นายพัฒนณัฐฏ์ วงศ์วรรณ อายุ 36 ปี เจ้าของร้านครัวตุ๋นเผยว่า สำหรับร้านครัวตุ๋นนี้ได้เปิดมาแล้วกว่า 3 ปี ซึ่งจุดเด่นของร้านคือจะใช้แต่เนื้อคุณภาพ และใช้น้ำซุปยาจีนที่หอมและกลมกล่อมโดยไม่ใช้ผงชูรส รวมทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อวากิวที่เสิร์ฟมาให้แก่ลูกค้าจะเป็นการเสิร์ฟแบบสดๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นว่าเนื้อที่ทางร้านได้คัดเลือกมาสดและมีคุณภาพจริงๆ
จากกรณีที่ชาว จ.นครราชสีมา ได้แชร์ข้อมูลในสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลาย ชักชวนกันไปใช้บริการที่ร้านอาหารตามสั่ง “ยาโภชนา” ซึ่งมีจุดขายที่สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยให้ข้าว อาหารปริมาณมากกว่าร้านปกติทั่วไปถึง 2 เท่า ขายในราคากันเอง และมีรสชาติอร่อยถูกปาก จนมีการกล่าวขานกันขณะนี้ว่าได้ปริมาณมากที่สุดในประเทศ จึงได้เดินทางไปพิสูจน์ที่ร้านอาหารดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางแยกหมู่บ้านสุรนารีวิลล์ ริมถนนเลียบคลองส่งน้ำ หมู่ 3 ต.ตลาด อ.เมือง ร้านอาหารสั่งนี้ ลักษณะร้านเป็นเพิงไม้มุงหลังคาสังกะสี ห้องครัวปลูกสร้างด้วยไม้อย่างเรียบง่าย ท่ามกลางลูกค้าจำนวนมากซึ่งมีหลากหลายอาชีพ เช่น บรรดาลูกจ้าง พนักงาน ข้าราชการทหาร ตำรวจ และนักเรียน นักศึกษา มานั่งรอรับประทานอาหารกันอย่างคึกคัก นายปัญญา บริบูรณ์ เจ้าของร้านยาโภชนา เปิดเผยว่า ได้ประกอบการร้านอาหารแห่งนี้ มานานกว่า 9 ปี เปิดบริการลูกค้าทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 -15.00 น. โดยมีมารดา และน้องสาว ช่วยเป็นลูกมือเตรียมวัตถุดิบ และบริการเสิร์ฟอาหาร สำหรับเมนูอาหารที่ได้รับความนิยม คือ ผัดกะเพราหมูกรอบราดข้าว กะเพราหมู ไก่ เครื่องในไก่ หมูย
สร้างอาชีพเสริม ดูแลสุขภาพ ลดน้ำหนัก สามความปรารถนาข้างต้นนี้ นำมาสู่ “Tip Top คลีนฟู้ด Delivery” ธุรกิจที่ผุดขึ้นท่ามกลางเทรนด์รักสุขภาพ ที่มีคุณอรอุษา พุกจินดาหรือคุณนุ่นสาวหน้าใสวัยเพียง 28 ปี เป็นหนึ่งในเจ้าความคิด กับการผลิตอาหารคลีนฟู้ดบรรจุกล่องจำหน่ายผ่านเฟซบุ๊ก จนมียอดขายวันละ 300-400 กล่อง ทำทาน สู่ทำขาย สุขภาพดี ต้องคลีน คุณอรอุษา เล่าว่าธุรกิจนี้เกิดจากความคิดเบื้องต้นต้องการสร้างอาชีพเสริมที่จะส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิต แต่จะทำอะไรนั้น เธอขอถามตัวเองก่อนว่า ชอบอะไร ความชอบเข้าครัวปรุงอาหารทานเอง เลือกวัตถุดิบสดใหม่ สะอาด แบบที่เธอเรียกว่าคลีนนั้นนอกจากจะส่งผลให้สุขภาพดีแล้ว เธอยังมองว่าเหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์เช่นเดียวกัน หรือโดยเฉพาะคนรักสุขภาพ “อาชีพประจำของนุ่นเป็นแอร์โฮสเตส ซึ่งรูปแบบการใช้ชีวิตจะไม่ค่อยเป็นเวลา แม้การนอน นอนดึก จึงทำให้น้ำหนักตัวขึ้นง่ายมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และก็ต่อการทำงานด้วย จึงคิดว่าคงต้องหาวิธีลดน้ำหนักและสร้างสุขภาพที่ดี ซึ่งโดยส่วนตัวนุ่นชอบทำอาหารทานเอง จึงเลือกเมนูสุขภาพ โดยซื้อหาจัดเตรี
ที่ตำบลอ่างทอง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนี่งที่ชาวบ้านต่างร่ำลือถึงรสชาติที่เข็มข้น ด้วยสูตรก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ ด้วยความเผ็ดร้อน ของพริกกะเหรี่ยงแท้จากชาวกะเหรี่ยงแถบอำเภอสวนผึ้ง ที่เป็นสูตรจากการคิดค้น ลองผิดลองถูกกว่า 2 ปี จนได้รสชาติที่ไม่เหมือนใคร จนเป็นที่ถูกปากของนักเดินทางและกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยร้านนี้ยังใจป้ำ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ขายเพียงชามละ 10 บาท แถมด้วยบริการน้ำดื่มฟรี แบบเย็นๆ ดับความร้อนของรสชาติเผ็ดอีกด้วย นอกจากจะรสชาติที่เข้มข้นด้วยความเผ็ดของพริกกะเหรี่ยงสดแท้แล้ว ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าที่นั่งทานก๋วยเตี๋ยว คือ ร้านนี้จะมีเมนูพิเศษเสิร์ฟก่อนด้วยการแจกหนังสือธรรมมะให้นั่งอ่านศึกษาธรรมในระหว่างนั่งรอด้วย และหากใครที่ต้องการนำกลับบ้านเจ้าของร้านก็แจกฟรีแถมกลับไปอีกด้วย ส่วนใครที่ชอบทำบุญก็สามารถร่วมทำบุญตามกระป๋องสังฆทานจากวัดต่างๆ ที่นำมาฝากบอกบุญกับทางร้าน จนทำให้ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ขึ้นชื่อว่า “ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ดุ รสพระธรรม 10 บาท” นางปารณีย์ สีวะรา อายุ 54 ปี เจ้าของร้าน เล่าให้ฟังว่า เดิมเป็นนักธุรกิจอิสระ จบอนุปริญญาสาขาอิเล็ก
หากมีใครมาบอกว่าไปทานข้าวมันไก่จานละ 10 บาทมา เชื่อว่าหลายคนคงไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ บางคนอาจจะคิดว่าคงมีไก่แค่ชิ้นสองชิ้น เพราะในยุคนี้ข้าวของต่างๆ แพงขึ้น โดยทั่วไปข้าวแกงหรืออาหารตามสั่งราคาจานละ 30 บาทขึ้นไป ถ้าอยู่ในห้างก็บวกเข้าไปอีก 5-10 บาทเป็นอย่างน้อย แต่สำหรับร้านข้าวมันไก่โกนวย ยังมีข้าวมันไก่จานละ 10 บาทให้เห็น เนื่องจากเจ้าของคือ “คุณอำนวย เชาว์เฟื่องกิจ”ในวัยเฉียด 70 อยากยืนหยัดราคานี้ไว้ตลอดกาล ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่ร้านนี้เปิดขายครั้งแรกเมื่อปี 2531 ใช้ข้าวหอมมะลิ 100% ร้านข้าวมันไก่โกนวย ไม่ใช่ร้านใหญ่โตอะไร เป็นรถเข็นที่มีโต๊ะเก้าอี้ให้คนนั่งหลายสิบคน ตั้งอยู่ในซอยตรงข้ามโรงพยาบาลเลิดสิน ด้านหน้ามีป้ายติดอยู่ เข้าไปในซอย 10 เมตรก็ถึง เปิดขายตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึงช่วงบ่าย 2 โมง บ่าย 3 โมง โดยมีคุณอำนวยและภรรยาอีก 2 คน ช่วยกันขายอย่างขะมักเขม้น ถ้าไปวันศุกร์ก็จะได้ฟังเสียงร้องขับกล่อมในบทเพลงสากลของชายผู้นี้ เพื่อมอบความสุขให้กับลูกค้า ซึ่งเจ้าตัวเรียกว่าเป็นฟรีคอนเสิร์ต คุณอำนวย เล่าว่า เริ่มขายข้าวมันไก่ตั้งแต่ปี 2531 เกือบ 30 ปีแล้ว ขายตั้งแต่ยังไม่มีทางด่วน ถัด