นายทศพร กล่าวว่า จากการสำรวจของเจ้าหน้าที่พบว่าภายในถ้ำเจออุปสรรคหลายๆ อย่าง เจอทรายอุดกลบบ้าง มีจุดที่ต้องดำน้ำ เพราะฉะนั้นจึงร่วมประชุมกับสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) ที่ 15 (เชียงราย) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าจะมีโอกาสหาทางเข้าออกทางอื่นได้อีกหรือไม่ โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ แผนที่ทางธรณีวิทยา แผนที่ของกรมทหารมาเทียบเคียง อีกทั้งลักษณะเทือกเขาหินปูนซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำก็อาจมีทางเข้าออกได้หลายทาง จากการประมวลข้อมูลทั้งหมดถือเป็นข่าวดีในระดับหนึ่งที่พบปล่องทางเข้าออกอีกทางหนึ่ง
นายชัยพร กล่าวว่า โดยปกติของถ้ำหินปูนอาจมีหลุมหรือดินถล่มมาบ้าง ซึ่งเกิดโพรงช่องปรากฏขึ้น โดยสังเกตจากน้ำผุด เพราะจะมีโพรงน้ำเยอะ หากฝนตกหนักจะมีไอน้ำสวนขึ้นมาจากโพรงถ้ำ ซึ่งพบ 2 โพรง โพรงแรกเข้าไปได้เพียง 5 เมตรก็ตันแล้ว ส่วนโพรงที่ 2 ถัดจากจุดแรกประมาณ 20 เมตร มีลักษณะแคบสามารถเข้าไปได้เพียงทีละคน หวังว่าโพรงนี้จะสามารถเชื่อมไปถึงบริเวณที่เด็กๆ อยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ที่หาดพัทยา มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร จากปากถ้ำ และเป็นพื้นที่ตลิ่ง เป็นดินเหนียว ซึ่งเป็นบริเวณดินโคลนถล่ม เป็นจุดที่อยู่เหนือน้ำ เพดานถ้ำสูง
“สิ่งที่เป็นกังวลคือเรื่องอากาศหายใจมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่แคบเพราะจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง อาจทำให้เด็กๆ หายใจลำบาก และภายในถ้ำไม่มีแสงสว่างจะมืดสนิท ส่วนอาหารการกินถือว่ายังโชคดีที่มีน้ำกินแน่ๆ พวกเราหวังว่าเด็กทุกคนจะปลอดภัย” นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวต่อว่า ในส่วนของการสำรวจทางเข้าออกเพิ่มเติม ทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือจะนำโดรนติดเครื่องตรวจจับความร้อน ตนแนะนำให้บินสำรวจในช่วงกลางคืน เพราะช่วงกลางวันลักษณะอากาศและน้ำภายในถ้ำจะคงที่ อาจสังเกตจุดความร้อนได้ยาก แต่หากตรวจจับความร้อนในช่วงกลางคืนซึ่งถ้ำจะเริ่มมีความเย็น หากมีไอน้ำหรือจุดความร้อนโผล่ขึ้นมาจากโพรงเราจะสังเกตได้ง่ายกว่า