จาก 1 โต๊ะ สู่ 18 โต๊ะ “อาม่งหม่าล่า” ทำอย่างไรให้ยอดขายโต 35% ในช่วงที่ตลาดหม่าล่าซบเซา?
จากความหลงใหลในรสชาติหม่าล่าต้นตำรับ สู่ร้านอาหารที่ครองใจคนไทย “อาม่งหม่าล่า” ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหาร แต่เป็นเรื่องราวการเดินทางของ คุณทอฝัน บัวคอม อายุ 35 ปี เจ้าของร้าน อาม่งหม่าล่า หญิงสาวที่บินลัดฟ้าสู่ประเทศจีน เพื่อตามหารสชาติที่ใช่ และนำมันกลับมาสร้างสรรค์เป็นหม่าล่าสไตล์โฮมเมดที่ทุกคนต้องหลงรัก

ด้วยประสบการณ์การใช้ชีวิตในจีน ทำให้เธอได้เรียนรู้เคล็ดลับการกินหม่าล่าแบบต้นตำรับ และนำมาปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทย จนเกิดเป็น ‘อาม่งหม่าล่า’ ร้านอาหารที่เสิร์ฟความอร่อยแบบไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นน้ำซุปที่เข้มข้น วัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างดี หรือบรรยากาศที่เป็นกันเอง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ อาม่งหม่าล่า กลายเป็นร้านหม่าล่าในดวงใจของใครหลายๆ คน
บทความนี้จะพาคุณไปสัมผัสเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจ ไปจนถึงเคล็ดลับความอร่อยที่คุณอาจไม่เคยรู้ จนถึงขั้นที่จะอยากมาลองด้วยตัวเอง สักครั้ง
ออกจากงานประจำ ทำอาม่งหม่าล่า
ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานประจำ ทำมาหลายอาชีพ ตั้งแต่เรียนจบวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสุขภาพ ทำงานทั้งสายการแพทย์ ทั้งการเป็น AE จนมาอาชีพสุดท้ายก่อนที่จะมาทำร้านอาม่งหม่าล่า เป็นเซลส์แอนด์เอกซ์พอร์ต ขายสินค้าไทยไปจีน
ประมาณปี 2559 เป็นช่วงเวลาที่ไปทำงานที่ประเทศจีนอยู่บ่อยครั้ง จึงได้เห็นโอกาสของการทำร้านอาหาร ในประเทศไทยตอนนั้น คำว่า หม่าล่า ยังไม่มีใครรู้จักและเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก โดยใช้โอกาสจากการว่างเว้นจากการทำงานแล้ว ไปลงเรียนทำอาหารจีนคอร์สสั้นๆ เมื่อกลับมาก็นำมาดัดแปลงเป็นสูตรของตัวเอง
จนมาเดือนพฤศจิกายน ปี 2560 ยังคงทำงานประจำอยู่ แต่มีความคิดที่อยากจะทำร้านหม่าล่า เพื่อซัพพอร์ตกลุ่มลูกค้าคนจีนที่เข้ามาดีลงานกับตน การตลาดครั้งแรกไม่ได้คิดว่าจะมีกลุ่มลูกค้าอื่นๆ มากิน สุดท้ายก็ยังไปไม่รอด เปิดได้ 1 ปีก็หยุดไป
เปิดแบบไม่มีพื้นฐานความรู้ แต่สู้จนประสบความสำเร็จ
คุณทอฝัน เล่าว่า ตนเองไม่ได้มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับร้านอาหารเลย ถึงแม้จะมีคุณพ่อเป็นเชฟก็ตาม แต่ท่านก็เสียไปนาน ด้วยสาขาที่เรียนไม่ได้มีความเป็นไปได้ที่จะมาทำร้านอาหารเลย
เมื่อหยุดไปได้ 3-4 เดือน ก็ไม่ได้มีการเซ้งร้าน อุปกรณ์ต่างๆ ก็ยังคงอยู่ จึงเปิดอีกครั้งในรูปแบบใหม่ แต่ในครั้งนี้เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น ประกอบกับทางแฟนมีฟาร์มและขายเกี่ยวกับวัตถุดิบอินทรีย์ เลยเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ร้านใหม่เป็นฟาร์มทูเทเบิล ทั้งยังปรับในเรื่องของรสชาติให้ดูมีความเป็นไทยมากขึ้น เธอบอว่า
“รสชาติหม่าล่าของจีนจะมีความเค็มๆ มันๆ ไม่มีความนัว ความแซ่บ เราจึงปรับปรุงสูตร เลือกใช้วัตถุดิบไทยมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในไทย”
พอได้สูตรที่ลงตัว ก็มีการวางแผนในเรื่องของกลุ่มทาร์เก็ต เปลี่ยนจากกลุ่มลูกค้าจีน กลุ่มทัวร์ เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทยทั้งหมด แต่มีความยากพอสมควรที่จะดึงดูดความสนใจให้ลูกค้าเปิดใจเข้ามาลองได้
“การมาทำร้านอาหารได้เรียนรู้ทุกอย่าง พอมามีกิจการเป็นของตัวเอง จะต้องมีความเสียสละเยอะมาก ต้องทำเองทุกหน้าที่ เราไม่เคยรู้ว่าในองค์กรหนึ่งจะต้องมีการบริหารอะไรอย่างไรบ้าง แต่พอได้มาทำตรงนี้จริงๆ ทำให้ได้ทำทุกอย่างและเข้าใจระบบการทำงานมากขึ้น” เธอเล่า
“จาก 1 โต๊ะ สู่ 18 โต๊ะ” ควบคุมวัตถุดิบเองได้ มีชัยเกินครึ่ง
ต้องเล่าว่า ช่วงแรกเปิดเป็นแค่ 1 โต๊ะ ที่บ้านแถวๆ รัชดา 32 จะรับลูกค้าแค่ตอนเย็น ถึงแม้จะออกจากงานประจำแล้ว แต่ก็ยังเป็นเอาต์ซอร์สของบริษัทต่างๆ อยู่ จึงมีเวลาช่วงเย็น เปิดรับวันละโต๊ะ ทำมาประมาณ 8 เดือน เป็นการจองล่วงหน้า ในระหว่าง 8 เดือนนี้ มีลูกค้าทุกวัน จึงมีการวางแผนว่า จะมาเปิดที่เยาวราช ขยับขยายเป็น 5 โต๊ะ ใกล้ๆ วัดมังกรกมลาวาส เปิดได้ 1 ปี กิจการมันไปต่อได้ จึงขยับขยายจดเป็นบริษัทเมื่อปี 2565 จากนั้นขยับขยายมาตรงเส้นเยาวราชเปิด 18 โต๊ะ
“เราเลือกที่จะทำธุรกิจนี้ต่อ เพราะลูกค้าบอกว่าอร่อย และเราเป็นเจ้าของสูตร เราสามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ทั้งหมด เพราะ 80% ปลูกเอง เลยคิดว่าสามารถควบคุมได้และทำกำไรได้ในระยะยาว ถ้าเราไม่ได้เป็นต้นน้ำเอง ร้านเราอาจจะเจ๊งไปแล้ว เพราะตอนนี้ร้านหม่าล่าปิดไปเยอะ เพราะวัตถุดิบสูง ต้องนำเข้ามาจากจีน แต่เราโชคดีที่มีครัวกลาง จึงควบคุมได้”
วัตถุดิบที่นำเข้ามาจากจีน มีเพียงไม่กี่อย่าง แค่เมล็ดพริก นอกนั้นก็จะซื้อจากซัพพลายเออร์ในไทย หรือไม่ก็เกษตรกรโดยตรง หรือแม้แต่บางอย่างก็จะใช้จากฟาร์มของแฟน ก็จะช่วยลดในเรื่องราคาวัตถุดิบไปได้มาก
ปัจจุบันนี้ที่ร้านมีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการวิเคราะห์ว่าลูกค้านั่งกินหน้าร้านน้อยลง ต้องใช้รูปแบบของดีลิเวอรีเข้ามาเสริม การจัดทำเป็นชุดเพื่อนำกลับไปกินเองที่บ้าน ปรับราคาให้อยู่ในราคาที่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่เข้าถึงได้ อีกทั้งยังจัดโปรโมชันต่างๆ เพิ่มยอดขาย เพื่อให้รายได้ในแต่ละเดือนยังคงเท่าๆ เดิมกับตอนที่ลูกค้ามานั่งกินที่ร้าน ซึ่งทางร้านก็สามารถทำได้
“ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยน้อยลง แล้วเลือกที่จะกินอาหารที่เป็น 1 มื้อแล้วจบ จึงเปลี่ยนรูปแบบร้านจากภัตตาคาร ลดพื้นที่แล้วแบ่งพื้นที่บางส่วนให้เป็นแนวสุกี้ที่ขายชามต่อชาม”
อาม่งหม่าล่า ถ้าเป็นร้านใหญ่ ตอนนี้ มี 2 สาขา คือที่เยาวราชและลาดพร้าว 12 แต่กำลังจะเปิดเน้นขายสุกี้เลย คือที่ สวนเพลินมาร์เก็ตและอารีย์ เธอยังมีแนวคิดที่อยากจะเห็นร้านเติบโตในอนาคต โดยในปีนี้อยากจะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา และในอนาคตข้างหน้าคิดว่าจะมีแฟรนไชส์ แต่ต้องวางแผนและตกตะกอนเพื่อสร้างมาตรฐานให้ดีที่สุดก่อน
Key Success กุญแจไขความสำเร็จ สไตล์ อาม่งหม่าล่า
Key Success เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แต่ละร้านสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและประสบความสำเร็จในตลาดที่มีการแข่งขันสูง อาม่งหม่าล่าได้ถอดรหัสความสำเร็จออกมา 3 ข้อดังนี้
1. ต้องมีความยืดหยุ่น
ควรที่จะรับฟังคำแนะนำของลูกค้าในทุกส่วน แล้วนำมาประชุมกับทีม เพื่อนำมาปรับปรุงให้ดีที่สุด
2. รักษาคุณภาพ
การรักษาคุณภาพ จะต้องให้ความสำคัญทั้งเรื่องของวัตถุดิบ รสชาติ น้ำจิ้ม ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าให้เพี้ยนไปแม้แต่น้อย ลูกค้าที่มากินครั้งแรกรสชาติอร่อยอย่างไร ก็จะต้องอร่อยเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิม แต่อย่าลดน้อยลง จนสามารถคว้ารางวัลการันตีจากเชลล์ชวนชิมเมื่อปี 2567 ได้ในที่สุด
3. ปรับตัว
การปรับตัวก็สำคัญ อย่าไปยึดติดว่าเราจะต้องเป็นร้านชาบูที่จะต้องมีโต๊ะนั่ง การเอากระแสนิยมเข้ามาปรับใช้ ก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้ร้านเราอยู่รอดได้ในขณะที่กระแสหม่าล่าลดลงก็ตาม แต่ร้านเรายอดโตขึ้น 35% จากปีที่แล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อาม่งหม่าล่า คลิก