“เดี๋ยวนี้คนใช้ดินสอปากกาลดลง นิยมจดบนไอแพดหรือเทคโนโลยีอื่นๆ กันหมด”
ใครยังจำภาพร้านเครื่องเขียนที่เต็มไปด้วยดินสอ ปากกา สมุด และอุปกรณ์นานาชนิดได้บ้าง วันนี้หรือในอนาคตไม่นาน ภาพเหล่านั้นอาจกำลังเลือนหายไป เสียงจากผู้ประกอบการแห่งหนึ่ง ได้จุดประเด็นถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล เมื่อ “ร้านเครื่องเขียน” กำลังเผชิญกับภาวะ “เจ๊ง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ธุรกิจที่เคยเฟื่องฟูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วอาจกลายเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ
เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เดินทางเข้าไปในตัวเมืองราชบุรี เพื่อไปซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านประจำในทุกๆ ครั้งที่ต้องการซื้อเกี่ยวกับอะไรพวกนี้ แต่วันนี้รู้สึกแปลกตาไปหน่อย เพราะสินค้าต่างๆ เริ่มลดลง จากเมื่อก่อนมีอยู่หนาตา จะเดินไปหยิบอะไรสักอย่างทีแทบจะเอียงตัวเดิน แต่มาวันนี้กลับไม่ใช่ ทุกอย่างดูบางตาไปเกือบหมด
ทันทีที่ยืนมองดูบรรยากาศร้านรอบๆ คุณตาเจ้าของร้านวัย 86 ปี เดินออกมาพร้อมพูดว่า “เดี๋ยวไม่นานก็จะปิดแล้ว” ผู้เขียนก็นึกว่าวันนี้มาช่วงเย็นๆ ร้านคงใกล้ปิด คุณตาพูดเสริมต่ออีกว่า ของเดี๋ยวนี้ต้นทุนสูง ขายไม่ออก ลองมองไปรอบๆ สิ ร้านอื่นๆ ก็ทยอยปิดกิจการลงกันไปเยอะแล้ว เศรษฐกิจไม่ไหว แต่ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจนะ คนเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมาซื้อเครื่องเขียนกันเท่าไหร่แล้ว พอมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเขาก็ใช้ตรงนั้นกัน เราก็ขายไม่ออก เคยจะเอาไปบริจาคเขายังไม่เอาเลย เครื่องเขียนน่ะ
พอได้ฟังเลยถามกลับไปว่า แล้วเราปรับตัวอะไรบ้างได้หรือไม่ เพื่อให้กิจการเราไปต่อได้ คุณตา ตอบกลับมาทันทีว่า ปรับอะไรไม่ได้หรอก ลูกก็บอกให้เลิกได้แล้ว สู้ต่อก็คงไม่ไหว เราไม่ทันเทคโนโลยีหรอก
จากบทสนทนากับคุณตาเจ้าของร้าน สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากและทางตันที่ผู้ประกอบการร้านเครื่องเขียนแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญอย่างชัดเจน ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ได้สร้างผลกระทบที่รุนแรงเกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
เสียงสะท้อนจากร้านเครื่องเขียน ไม่ได้เป็นเพียงความคับข้องใจของผู้ประกอบการรายหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็น สัญญาณเตือนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อธุรกิจดั้งเดิม ที่อาจไม่ได้มีเครื่องมือหรือความรู้เพียงพอในการปรับตัว การที่แม้แต่การบริจาคเครื่องเขียนยังเป็นเรื่องยาก แสดงให้เห็นถึง ความต้องการที่ลดลงอย่างแท้จริงในสังคม
แม้ร้านเครื่องเขียนเล็กๆ จะทยอยปิดตัวลง แต่ไม่ใช่ว่าปลาใหญ่จะไม่ต้องปรับกลยุทธ์ ร้านเครื่องเขียนที่เป็นแบรนด์ขนาดใหญ่หลายๆ แบรนด์ ต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ดึงเอาความเป็นเอกลักษณ์ออกมาสู้สู่สายตาของผู้บริโภค หรือแม้แต่หาสินค้าอื่นๆ เข้ามาเสริมเพื่อสร้างความสนใจ ดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการ
ยกตัวอย่างแบรนด์เครื่องเขียนขนาดใหญ่ อย่าง B2S ที่ต้องปรับครั้งใหญ่ โดยการขยายอาณาจักรสินค้า ดึงดูดลูกค้าทุกกลุ่ม B2S ร้านเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงานชื่อดัง ที่ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่สินค้ากลุ่มเดิมอีกต่อไป พวกเขาได้มีการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยการนำสินค้าอื่นๆ ที่หลากหลายเข้ามาวางจำหน่ายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากเดิมที่เน้นเพียงแค่ ดินสอ ปากกา สมุด และอุปกรณ์การเรียนรู้ B2S ในปัจจุบันได้ขยายอาณาจักรสินค้าให้ครอบคลุม อาทิ
- สินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น ของขวัญน่ารัก เครื่องประดับขนาดเล็ก สินค้าตกแต่งบ้าน
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น หูฟัง ลำโพงพกพา อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต
- สินค้าสำหรับงานอดิเรก เช่น อุปกรณ์ศิลปะหลากหลายประเภท โมเดล เกม
- เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว เช่น มุมกาแฟ เครื่องดื่มบรรจุขวด ขนมขบเคี้ยวหลากหลาย
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์นี้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่อาจไม่ได้มีความต้องการซื้อเครื่องเขียนโดยตรง แต่ยังเป็นการเพิ่มแวลูในการขาย (Value Proposition) ให้กับร้าน B2S อย่างมาก ลูกค้าที่เข้ามาในร้านอาจไม่ได้ซื้อแค่ดินสอ แต่ยังสามารถเลือกซื้อของขวัญ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่เครื่องดื่มติดไม้ติดมือกลับบ้านได้ในคราวเดียว
การขยายกลุ่มสินค้ายังช่วยให้ B2S กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ลูกค้ามองว่าร้านไม่ใช่แค่ร้านเครื่องเขียนอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งรวมสินค้าไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจและตอบโจทย์ความต้องการได้หลายด้าน
ถึงแม้ว่าอนาคตของร้านเครื่องเขียนแบบดั้งเดิมอาจดูไม่สดใส แต่เรื่องราวนี้ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ย้ำเตือนถึงความจำเป็นของการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในโลกที่หมุนไปอย่างไม่หยุดนิ่ง