จากเสียงคลื่นและกลิ่นคาวทะเลในวัยเยาว์ สู่รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์บนโต๊ะอาหาร ชีวิตคลุกคลีกับ “ปู” ตั้งแต่ยังไม่ลืมตา โอบล้อมด้วยเรื่องราวของ “วัตถุดิบ” จากท้องทะเลอันอุดมในอดีต คือรสชาติที่บริสุทธิ์ ดั่งผืนป่าโกงกางที่น้ำยังใส แร่ธาตุยังเต็มเปี่ยม
เมื่อวันเวลาผันผ่าน แหล่งวัตถุดิบเปลี่ยนไป แต่หัวใจของการปรุงยังคงแน่วแน่ การเดินทางตามหาวัตถุดิบที่ดีที่สุด แม้ต้องโบยบินข้ามทวีป สู่พม่า ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม หรือแม้กระทั่งมาดากัสการ์ ทุกการเดินทาง ทุกหยาดเหงื่อ คือการบ่มเพาะความเข้าใจในวัตถุดิบอย่างลึกซึ้ง ดุจงานฝีมือที่ต้องใช้เวลาและความใส่ใจ

เฮียจก-สมชาย ตั้งสินพูลชัย หรือที่รู้จักกันในวงการร้านอาหารว่า “จกโต๊ะเดียว” ตัวจริงเรื่องวัตถุดิบ ผู้ที่เดินทางไปทั่วสารทิศเพื่อเฟ้นหาวัตถุดิบชั้นเลิศ กับเรื่องราวที่เคยล้มเหลวมาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง
จากเด็กเก็บออร์เดอร์ สู่จกโต๊ะเดียว
ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ทางครอบครัวก็ประกอบอาชีพเกี่ยวกับอาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ที่ทางบ้านจะถูกขนานนามว่าเป็นเอเยนต์ใหญ่ที่ขายปูในหลายๆ จังหวัด
เท่าที่เขาเองจำความได้ เมื่อตอนอายุได้ 14-15 ปี ก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือกิจการของที่บ้าน โดยเป็นเด็กเก็บออร์เดอร์ ก็จะยกแก๊งกันไปกับเพื่อนๆ แถวเยาวราช สำเพ็ง ไปเก็บออร์เดอร์ตามร้านอาหาร อย่างร้านแถวๆ สามย่าน มีประมาณ 10 ร้าน ก็จะซื้อวัตถุดิบจากครอบครัวไปแล้วประมาณ 5 ร้าน
เขาเองก็ใช้ชีวิตอย่างนั้นมาเรื่อยๆ กิน เที่ยว สังสรรค์ จนมาถึงอายุเข้าเลข 4 เหล่าเพื่อนๆ ต่างก็ทยอยหายกันไปทีละคน เนื่องจากติดหลานกันหมด เขาเองก็ต้องหาวิธีในการหลอกล่อให้เพื่อนๆ ออกมาสังสรรค์ โดยใช้วิธีที่ว่า “เดี๋ยวทำกับข้าวให้กิน ถ้าไม่อร่อยทั้งเหล้าทั้งกับผมจะออกเอง”

วิธีนี้ก็ใช้ได้ผล เพื่อนๆ ก็ออกมาตั้งวงสังสรรค์ เมื่อได้ลิ้มรสของอาหารที่เขาได้ทำ ก็ต่างชมกันว่า “นายมีพรสวรรค์ น่าจะเปิดร้านอาหาร เพราะทำอะไรอย่างอื่นก็เจ๊งหมด โดนโกง โดนหลอก มีพรสวรรค์ด้านนี้ก็น่าจะขายอาหารนะ” จึงได้ริเริ่มเปิดจากโต๊ะเดียวก่อน
ที่มาของคำว่าโต๊ะเดียว ในตอนนั้นเขาก็ทำคนเดียว ความรู้ความสามารถไม่มี แต่ว่ามีความถนัดเรื่องวัตถุดิบ ค่อยๆ ไต่เต้าจากการเดินก้าวแรกๆ ใช้ประสบการณ์ ความต่อสู้ ที่สู้ด้วยชีวิต ความอดอยากที่ทำให้ใจกล้า และมีคติที่ว่า
“ไม่เคยที่จะขอเขากิน ใครจะให้ต้องทำให้เขากิน แลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ถึงไม่มีก็ต้องอดอย่างเสือ กินอย่างราชสีห์”
จากนั้นมาก็เปิดร้านอาหารอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 2550 มาจนถึงปัจจุบันก็เปิดมาได้ 18 ปีแล้ว
การทำอาหาร จะตายตัวไม่ได้ ต้องมีการดัดแปลง
“การทำอาหารไม่ได้ตายตัว แต่ว่าพื้นฐานจะต้องมีอยู่”
เฮียจก บอกว่า การทำอาหารแต่ละจาน จะมีสูตรตายตัวเป็นไปไม่ได้ อย่างปู 1 ตัว จะเป็นปูตัวผู้ ตัวเมีย ก็ไม่เหมือนกัน ทุกอย่างมีการปรับปรุงและแก้ไขทุกวินาที หรือแม้แต่กุ้ง เขาสามารถมองออกเลยว่า กุ้งตัวนี้เป็นอวนลากหรืออวนดุน เป็นกุ้งพันธุ์อะไร ฤดูไหน หน้าฝน หน้าหนาว หน้าร้อน

เมื่อได้กุ้งมาที่ไม่เหมือนกัน ก็ต้องมีวิธีดัดแปลง หากมีความสดมากก็มากินสดๆ โดยการลวกกิน แต่ถ้าแช่น้ำแข็งมาเกินเวลา 5-6 ชั่วโมง หรือ 10 ชั่วโมง ควรนำมาทอด ถ้านานแนะนำให้ทำกุ้งกระเทียม ทอดให้เซตตัว แล้วก็เอาน้ำกระเทียมที่ทอดให้มันซึมเข้าไปในเนื้อกุ้ง
“สัตว์น้ำทุกชนิดเราต้องรู้ว่า ความหวานมันอยู่ตรงไหน ไม่ใช่ต้มแบบซื่อบื้อ 20 นาทีพอ 20 นาทีมันสุกมากเกินไป กลายเป็นน้ำตัวมันออกหมด” เขาเล่า
วัตถุดิบทุกอย่างมีคุณสมบัติ แต่จะต้องอาศัยจังหวะ และมีความรู้ที่แตกฉาน ก็จะสามารถรู้ได้ว่า ควรจะทำอะไรให้วัตถุดิบนั้นๆ อร่อย เและไม่ทำให้วัตถุดิบเสียคุณภาพ
“วัตถุดิบ” หัวใจของร้าน “จกโต๊ะเดียว”
หากพูดถึงร้านจกโต๊ะเดียว แน่นอนเลยว่าคุณภาพของวัตถุดิบของร้านนี้ เป็นอะไรที่โจทย์ขานมานานแสนนาน ตัวเจ้าของร้านเองก็ย้ำอยู่เสมอๆ ว่า หัวใจสำคัญของร้านจกโต๊ะเดียว คือ วัตถุดิบ เพราะจุดต่างของแต่ละร้าน ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องวัตถุดิบ เพราะหากคุณภาพดี ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเสริมไปสร้างหรือปรุงแต่งรสชาติ
เล่าย้อนไปหลายสิบปี การทำธุรกิจเกี่ยวกับวัตถุดิบนั้นมีจุดเสี่ยงมาก เพราะเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยซัพพอร์ตน้อย เช่น จะส่งปลาบู่จากสุพรรณบุรี สิงห์บุรี เป็นอะไรที่ยากลำบาก ถนนหนทางที่ไม่เกื้อหนุน ความช้ำของปลาจึงเยอะ แต่สมัยก่อนโชคดีที่ว่าวัตถุดิบมาจากธรรมชาติ จึงมีความอึดความทนทานมาก หากได้ 100 ตัว ตายไปสัก 50 ตัว ก็ยังเหลือกำไร แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ได้ 100 ตัว ตายสัก 20 ตัว ก็ขาดทุนแล้ว เพราะต้นทุนมันไม่เหมือนกัน

ถ้าเป็นสมัยก่อนปูที่อร่อยที่สุด คือตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม พ่อค้าปูเอเยนต์ใหญ่ๆ ก็ลงความเห็นกันอย่างนั้น เพราะในเมื่อก่อนแหล่งที่มายังคงเป็นป่าโกงกางแหล่งน้ำยังบริสุทธิ์อยู่ แร่ธาตุยังดี สิ่งแวดล้อมความเสียหายน้อยมาก
แต่ปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็ต้องหนีไปเมืองนอก พม่า ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และตอนนี้แหล่งวัตถุดิบไปไกลถึงแอฟริกา เขาได้ไปอยู่มาดากัสการ์ 2 ปี เพื่อไปหาแหล่งปูมาทดแทน
เมนูชูโรง
สำหรับเมนูอาหารจากร้านจกโต๊ะเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นเมนูชูโรง ต้องยกให้เป็นปลาหิมะ ที่ได้มาพลิกแพลงคิดสูตรให้มันมีรสชาติสำหรับกินเป็นกับแกล้มอร่อย กรอบนอกนุ่มในแล้วก็กลมกล่อมในคราวเดียวกัน

นอกจากปลาหิมะแล้วก็ยังมีเกี๊ยวกุ้ง ด้วยที่เป็นคนชอบพลิกแพลง จริงๆ จะใช้กุ้งชนิดไหนก็ได้ แต่เขาบอกว่า ไอ้ตัวเรารู้มาก เรื่องมาก ก็ต้องเปลี่ยนเป็นกุ้งชนิดนี้ดู ผลปรากฏว่าอร่อยกว่า

อีกจานเด็ดที่ขึ้นชื่อ คือปู ด้วยความถนัดในเรื่องปูอยู่แล้ว จึงนำอะไรต่างๆ มาผสมผสานเป็นปูผัดพริกไทยดำ
ความอร่อยนั้นขึ้นชื่อและลือเลื่อง จนมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไว้เนื้อเชื่อใจเยอะ แต่ไม่สามารถออกนามได้ แอบกระซิบว่าเป็น 1 ใน 20 ของประเทศไทย
“ผมก็ไม่รู้นะ ที่ว่าแรร์ แต่รู้ที่ว่าผมจะทำอะไร ผมจะต้องมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำอะไรก็ทำให้ดีที่สุด พยายามให้มีจุดเด่นของตัวเอง เราจะไปสู้เขาไม่ได้หรอก เราจะสู้ได้ก็คือ จะทำอย่างไรให้วัตถุดิบอร่อยที่สุด ให้สดที่สุด แล้วก็ให้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ลูกค้ากินหมดเราก็ดีใจ จองต่อเราก็ดีใจ ลูกค้าแฮปปี้เราก็ภูมิใจมากครับ” เขากล่าว
จากเด็กเก็บออร์เดอร์ข้างถนน สู่เจ้าของร้านอาหารที่เปิดมายาวนานกว่า 18 ปี ในย่านเยาวราช ที่ไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่มีหัวใจที่พร้อมจะปรับปรุงและแก้ไขในทุกวินาที เพราะรสชาติที่แท้จริง เกิดจากการรู้จักวัตถุดิบอย่างแตกฉาน รู้เวลาและจังหวะที่เหมาะสม และเหนือสิ่งอื่นใด คือการสร้าง เอกลักษณ์ของตัวเอง เพราะนี่ไม่ใช่แค่อาหาร แต่คือเรื่องราวชีวิตที่ถูกกลั่นกรองผ่านรสชาติ จากทะเลสู่โต๊ะอาหาร ด้วยหัวใจของคนทำ