จากกรณีคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ที่เป็นการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนกับกัมพูชา ทำให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง และทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย
หลายภาคส่วนเรียกร้องให้ “ยุบสภา” และ “นายกฯ ลาออก”
ประชาชนได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านทางโซเชียลอย่างดุเดือด อีกทั้งยังมีพรรคการเมืองประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่สนับสนุนการบริหารงานต่อรัฐบาลเพื่อไทย
ซึ่งการถอนตัวดังกล่าวไม่เพียงกระทบต่อเสถียรภาพการเมืองเท่านั้น แต่ยังสร้างความกังวลให้กับภาคเอกชน เพราะอาจนำไปสู่ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” หรือ “รัฐบาลรักษาการ” ซึ่งมีอำนาจจำกัดในการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือบริหารงบประมาณ
และล่าสุดเริ่มมีประชาชนบางส่วนออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา และให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบต่อชาติบ้านเมือง และความมั่นคงของประเทศ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และ SMEs โดยตรง
1. จัดสรรงบประมาณล่าช้า การจัดทำงบประมาณปี 2569 อาจถูกชะลอ หากต้องยุบสภา หรือมีการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลไม่สามารถอนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ส่งผลให้ SMEs บางส่วนที่ต้องพึ่งพาภาครัฐ เกิดการชะลอตัว หรือขาดรายได้
2. นักลงทุนชะลอ รอดูท่าทีความไม่แน่นอนทางการเมือง กระทบ SMEs บางภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน เช่น กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์
3. เสียโอกาสทางการค้า ผลกระทบจากการปิดชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้หยุดชะงักแค่ในเรื่องการเดินทาง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรง ผู้ค้าชายแดนจำนวนมากอาจเผชิญกับปัญหาสินค้าค้างสต๊อก ส่งออกไม่ได้ รายได้หาย เพราะลูกค้าต่างแดนที่เคยเป็นกำลังซื้อหลัก ไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อของได้เหมือนเคย
4. ค่าเงินบาทผันผวน ต้นทุนสูงขึ้น ค่าเงินบาทอาจมีแนวโน้มอ่อนค่า SMEs ที่นำเข้าวัตถุดิบ จะเผชิญต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น
5. นโยบายระยะยาวชะลอตัว โครงการใหญ่ เช่น Digital Wallet, เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน, รถไฟความเร็วสูง อาจล่าช้าหรือถูกยกเลิก ส่งผลให้ SMEs ภาคการค้าบริการ เช่น กลุ่มร้านอาหาร ค้าปลีก โรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว ขาดโอกาสฟื้นตัว
ตัวอย่าง SMEs ที่ได้รับผลกระทบ คือกลุ่มผู้ค้าชายแดน และภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยจากข้อมูล กรมการค้าต่างประเทศ ระบุมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน) พบว่า
1. อรัญประเทศ (สระแก้ว) มีมูลค่า 40,261 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.3%
2. คลองใหญ่ (ตราด) มีมูลค่า 10,782 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.7%
3. จันทบุรี มีมูลค่า 9,998 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.5%
4. ช่องจอม (สุรินทร์) มีมูลค่า 2,887 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.5%
5. ช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) มีมูลค่า 685 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.1% รวม 64,613 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองนำไปสู่การ “ยุบสภา” หรือ “รัฐบาลรักษาการ” การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจะติดข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ เช่น ไม่สามารถจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีใหม่, ไม่สามารถลงนามโครงการระหว่างประเทศ หรือ MOU ด้านการค้า และภาคเอกชนจะระมัดระวังในการลงทุนนานขึ้น ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากภาวะซบเซายืดเยื้อกว่าที่คาด