การเกษียณอายุไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการทำงานอีกต่อไป แต่เป็นโอกาสในการเริ่มต้นบทบาทใหม่ โดยเฉพาะการทำธุรกิจที่ตอบโจทย์ความหมายของชีวิต ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก
ในวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่งาน มนุษย์ต่างวัย Fest 2025 : ชีวิตดี…ชีวิต ซีซัน 2 It’s Okay To Be You ในหัวข้อ เริ่มธุรกิจในช่วงเกษียณให้ตอบโจทย์ความหมายของชีวิต (อิกิไก) ที่คิดว่าเป็นหนึ่งในเซสชันที่เสมือนเวทีแห่งแรงบันดาลใจให้กับวัยเกษียณ โดย ดร.กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ เกตุวดี Marumura และเว็บไซต์ พอดีต่อใจ
ดร.กฤตินี กล่าวว่า เชื่อว่าทุกท่านอาจจะกำลังออกพยายามแบบชีวิตของเราอยู่ ชีวิตลูกที่สอง ชีวิตในจังหวะต่อไปจะมีอะไรบ้าง จึงอยากจะมาส่งต่อปรัชญาสั้นๆ ของคนญี่ปุ่น ด้วยที่ได้ทุนจากรัฐบาลไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นเป็นเวลานับสิบปี ตั้งแต่ปริญญาตรีไปจนถึงปริญญาเอก
โดยส่วนตัวเป็นคนที่รักในประเทศญี่ปุ่นมากๆ มีการตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้มาก แต่พอเรียนไปในจุดหนึ่ง เกิดอาการหลงทาง เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ทำได้หมดแล้ว แล้วสเต็ปถัดไปจะทำอย่างไรดี พออยู่มาเรื่อยๆ ได้เห็นการใช้ชีวิตบางอย่างของคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อายุยืนที่สุดในโลก ได้เห็นถึงการทำงาน การใช้ชีวิต จึงอยากจะมาแบ่งปันให้กับทุกท่าน
“อิกิไก” ความหมายของชีวิต
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชื่อว่า Kyoto Institute of Technology ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดี มีคุณลุงท่านหนึ่งที่ทำงานเดิมๆ มาตลอด งานของเขาคือการเป็น รปภ. เฝ้าหน้าประตูมหาวิทยาลัย แต่พอใบไม้ร่วง คุณลุงก็จะหยิบไม้กวาด กวาดใบไม้เป็นรูปหัวใจ รูปดาว นักศึกษาเห็นแล้วรู้สึกประทับใจ คุณลุงเริ่มกวาดตั้งแต่อายุ 61 ปี เกษียณมาก็มาทำเป็น รปภ.
วันถัดไป กวาดเป็นโคโคโระ เป็นหัวใจส่งให้นักศึกษาไปเรียน แต่มีนักศึกษาต่างชาติถามว่า ลุงเขียนเส้นอะไร อ่านไม่ออก เห็นนักศึกษาคนอื่นๆ เขาฮือฮากัน คุณลุงบอกว่า เดี๋ยววันรุ่งขึ้นจัดให้ คุณลุงกวาดเป็น Love ส่งความรักให้ทุกๆ คน เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่มีความสุขในทุกๆ วัน
เชื่อว่าหลายๆ คน อาจจะตื่นเช้ามากวาดใบไม้หน้าบ้าน กวาดไปลมพัดปลิว ก็เกิดอารมณ์โมโหบ้าง แต่คุณลุง คิดคนละแบบ ใบไม้ยิ่งร่วงเยอะ ยิ่งดีใจ สิ่งเหล่านี้คือการใช้วิธีคิดแบบคนที่มี อิกิไก
ก่อนหน้านี้คุณลุงทำงานเป็นช่างเย็บชุดแต่งงานให้เจ้าสาวมาก่อน เหตุผลที่เลือกทำงานนี้คือ เขารู้สึกมีความสุขเวลาเห็นรอยยิ้มของผู้คน เวลาที่เจ้าสาวเห็นชุดตัวเองสวยๆ หน้ากระจก จะมีความสุขมากๆ เลย ด้วยความถนัดในเรื่องของการเย็บ ถนัดในงานศิลปะ พอเปลี่ยนมาทำงานเป็น รปภ. DNA บางอย่างก็ยังคงเหลืออยู่ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ถนัด สิ่งที่มีความสุขในงานก่อนก็ยังอยู่ในงานใหม่ของเรา และยิ่งสร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนด้วย จากเจ้าสาวสู่นักศึกษา เมื่อคุณลุงอายุ 78 ปี ได้ทำอัลบั้มเป็นของตัวเองให้นักศึกษาได้เลือกว่าอยากได้รูปไหน คุณลุงจัดให้ได้
จากเรื่องราวของคุณลุง ทำให้คิดว่า เป้าหมายในชีวิต Next Step ของตัวเองหลังจากเกษียณจะเป็นอย่างไร เราประสบความสำเร็จใจการเป็นผู้บริหารมาแล้ว ทำกิจการของตัวเองมาแล้ว หลังจากเกษียณจะทำอะไรต่อดี ตัวอย่างของคุณลุงคือตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการประสบความสำเร็จในชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ต้องตั้งเป้าเพื่อกดดันตัวเอง แต่มันมีความสุขที่ได้ทำในแต่ละวันและทำให้ผู้คนมีรอยยิ้มได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของหลักคิดแบบ อิกิไก คือ ความสำเร็จที่เรารู้ว่า เราได้ทำให้ใครสักคนมีความสุข
ตัวอย่างคำพูดของคนที่มีหลักคิดแบบอิกิไก
“ตื่นเช้ามา แดดส่องสว่าง ดอกซากุระบาน ชีวิตเราอิกิไกดีนะ เราควรค่าแห่งการมีชีวิตอยู่ ดีจังเลยที่เราได้ชมซากุระปีนี้” คนญี่ปุ่นมักจะพูดแบบนี้ หรือบางคนบอกว่า “โอ้หลานอายุ 1 ขวบยิ้มให้ อิกิไก ดีจังเลยที่ยังมีชีวิตอยู่จนมาได้เจอหลานคนแรกในชีวิต”
หากทุกคน จำภาษาญี่ปุ่นอย่าง อิกิไก ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดร.กฤตินี ได้ให้คำพูดง่ายๆ ไว้ คือคำว่า “ชีวิตเราดีจังเลย”
คนแบบไหน ที่จะรู้สึกว่า ชีวิต ณ ขณะนี้ดีจังเลย
คนที่จะรู้สึกว่า ชีวิต ณ ขณะนี้ดีจังเลย มักจะเจอ 2 องค์ประกอบนี้อยู่คู่กัน คือ
1. Be Yourself หรือ เป็นตัวของตัวเอง
จากประสบการณ์ที่เคยสอนตามองค์กรต่างๆ มา ปรากฏว่ามีบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกว่า ชีวิตเรายังไม่ค่อยดี อะไรบ้างคือสิ่งที่กระทบความเป็นตัวเอง สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ประกอบไปด้วย
– เสียงจากคนรอบข้าง เช่น เพื่อนพูดว่า “เกษียณแล้วต้องหาธุรกิจทำเป็นของตัวเองนะ ไม่อย่างนั้นอยู่บ้านเหงาๆ เบื่อตายเลย” หรือ “เธอต้องทำประกันนะ คนอื่นเขาทำกันหมดแล้ว” สิ่งเหล่านี้ อาจจะทำให้เรารู้สึกเครียด แล้วหากเราเอาเก็บมาคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา ถามว่า ชีวิตเราดีหรือไม่ ตอบสั้นๆ ได้ใจความเลยว่า ยัง
– เสียงของสังคม เช่น เป็นผู้ประกอบการดีนะ เป็นเชฟร้านอาหารดีนะ
– เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่น ซึ่งมองว่าดีแล้ว แต่มีเพื่อนในห้องอีก 2 คน ได้ทุนเล่าเรียนหลวง คนหนึ่งเรียนฮาร์วาร์ด อีกคนเรียนแสตมฟอร์ด แล้วเมื่อเวลาเล่นเฟซบุ๊กแล้วเกิดการเปรียบเทียบกัน เราเช็กอินกับต้นซากุระ เขาเช็กอินกับโดมฮาร์วาร์ด ก็เลยเกิดคำถามในใจว่าทำไมถึงไม่ได้ไปแบบเขาบ้างนะ ตอนนั้นที่คิดว่าชีวิตเราไม่ดีเลย
– กังวลกับอนาคต มีคำถามว่า กลัว AI กันหรือไม่ กลัวสุขภาพเราในอนาคตหรือไม่ จะก่อให้เกิดความกังวลอยู่ตลอดเลา
– กังวลเกี่ยวกับตัวเอง การกังวลว่าในอีก 5-10 ปีเกษียณแล้ว จะไปทำอะไรต่อดี แน่นอนว่า การวางแผนให้กับชีวิต การวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่การคิดไม่ตก ติดเยอะไป แล้วจะทุกข์มากๆ
แล้วอะไรจะทำให้เราได้เจอ อิกิไก ในการทำงาน การใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น อยากให้ลองสังเกตว่า เรามีสิ่งที่เราใส่ใจเป็นพิเศษหรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามเองเกินกว่าที่เราได้รับมอบหมายหรือเปล่า และสิ่งที่เราต้องสังเกตคือ ลองหาสิ่งที่เรามีทักษะที่ถนัด ไม่ใช่ว่ารักอะไร
2. Be Kind หรือทักษะที่เรามีเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นอย่างไรได้บ้าง
ตัวอย่างที่ได้หยิบยกขึ้นมา คือชีวิตของผู้หญิงมหัศจรรย์ท่านหนี้ที่ชื่อว่า มิซาโอะ ถ้าดูโปรไฟล์มีความสะพรึงเป็นอย่างมาก เธอเริ่มทำกิจการตอนอายุ 75 ปี จนตอนนี้อายุ 95 ปีแล้ว ก็ยังมีแบรนด์เป็นของตัวเองอยู่ มีโรงงานเป็นของตัวเอง ทำขนมโมจิส่งซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง
หากดูแบบไม่เจาะลึก จะมีคำถามว่า คุณยายเอาพลังจากที่ไหนมาให้มีความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ แต่หากดูประวัติของคุณยาย จะได้รู้ว่า คุณยายแต่งงานตอนอายุ 19 ปี จนลูกโต ตอนอายุ 36-60 ปี ทำงานที่เนิร์ซเวอร์รี อายุ 61-75 ปี ออกมาทำโมจิขายริมถนน 75 ปีจึงเพิ่งเริ่มมีแบรนด์ของตัวเอง
ในช่วงอายุ 79 ปี คุณยายได้นำโมจิที่ตัวเองทำไปขายบนรถไฟ ขายไปร้องเพลงไปเต้นไป คนก็ชอบ แล้วลองซื้อโมจิ กลับรู้สึกว่า โมจิอร่อยอีก จึงทำให้เริ่มมีชื่อเสียงและต่อยอดเปิดร้านเป็นของตัวเอง จากที่ทำโมจิวันละ 140 ชิ้น จนตอนนี้มีโรงงานสามารถทำได้วันละ 200-300 ชิ้น
หากถามว่าคุณยายอยากจะเป็นเจ้าของกิจการหรือไม่ อยากมีแบรนด์เป็นของตัวเองหรือเปล่า คุณยาย บอกว่า ไม่เลย จุดแรกเริ่มที่ทำโมจิ คือทำไปแจกที่บ้านพักคนชราในตอนนั้นอายุประมาณ 60 ปี คุณตาคุณยายในบ้านพักคนชรารู้สึกอร่อยและไม่ได้กินอย่างนี้มานาน ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข อยากจะทำอีก จนมีคนเชียร์ให้ทำขาย เลยทำขายตั้งแต่นั้นมา
ตอนแรกไม่มีแบรนด์เลย ซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองได้ยินชื่อเสียงของคุณยาย จึงขอโมจิมาขายพร้อมติดสติกเกอร์ แล้วก็วางขาย ลูกค้าที่ทานก็รู้สึกประทับใจ แล้วต่อยอดไปว่า เดือนหน้าจะมีรถไฟท่องเที่ยว ขอเอาโมจิของคุณยายไปขายได้ไหม จะได้ทำให้คนรู้ว่า เมืองเรามีโมจิเกาลัดที่แสนอร่อยอยู่ ด้วยความชอบคุณยายจึงเห็นด้วย แต่ไม่ใช่แค่นำโมจิไปขาย แต่อยากให้คุณยายไปด้วย คุณยายก็ตกปากรับคำไปขายด้วยตัวเองพร้อมร้องเพลงสร้างรอยยิ้ม
จากเรื่องราวของคุณยายมิซาโอะ ทำให้ได้เห็นวิธีคิดที่มีแต่คำว่า ให้ ทั้งความสุข รอยยิ้ม หากถามว่า ทุกวันนี้คุณยายเหนื่อยไหมกับการปั้นโมจิ คุณยายก็คงจะตอบว่า เหนื่อย แต่เป็นเหนื่อยที่มีความสุข เพราะเรารู้ว่าเราได้ทำประโยชน์ให้ใครสักคนหรือใครหลายๆ คนแล้ว
ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจอาจจะไม่ได้มาจากการวางแผนแบบเป๊ะๆ หรือการนำกำไรมาเป็นที่ตั้ง แต่จุดเริ่มต้นของงานที่ดี คือการนึกถึงความสุขของผู้อื่นก่อน จากตัวอย่างที่ยกมานั้นทุกคนมีจุดเด่นเฉพาะตัวของตนเอง และใช้สิ่งที่ถนัดมาสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ
เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะคิดว่า เราจะเกษียณปีไหนดี เราจะทำอะไรดี หรือควรจะทำธุรกิจเป็นของตัวเองดีไหม อยากชวนให้ทุกท่านได้ลองตั้งคำถามที่เบาขึ้นควบคู่กันไป อย่าคิดว่าเราต้องทำอะไร แต่ตัวเราเองมีความสุขที่จะได้ทำอะไร และไม่ใช่เพียงแค่ความสุขของตนเองแต่เป็นความสุขที่เราได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข
วิธีสังเกตง่ายๆ ให้สังเกตจากคำขอบคุณที่ได้ให้กับคนอื่น เรามักจะขอบคุณคนอื่นเรื่องอะไร และเรามักจะได้รับคำขอบคุณจากคนอื่นๆ เรื่องอะไร จะทำให้เราได้เห็นความเป็นตัวเรามากขึ้น และลองถามตัวเองว่า มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เราปรารถนาและสุขที่จะให้ผู้อื่นได้บ้าง