การบริหารจัดการน้ำ
“ชี้ช่องแก้จน เปลี่ยนฝนเป็นทุน” โอกาสพลิกชีวิตก้าวข้ามวิกฤตโควิด 19 วิถีเกษตรกร ต่อยอดพัฒนาอาชีพ ทางรอดคนคืนถิ่น สร้างรายได้และความสุขที่ยั่งยืน โควิด19 สร้างการเปลี่ยนแปลงมากมาย สังคมไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ คนว่างงานขาดรายได้กว่า 4 ล้านคน ตัดสินใจคืนถิ่นเกิดไปตั้งหลัก และมองหาทางรอดด้วยการใช้ชีวิตในภาคการเกษตร ที่มี “น้ำ” เป็นหัวใจสำคัญ เอสซีจีร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เปิดเวทีชวนพูดคุยผ่านออนไลน์ “ชี้ช่องแก้จน เปลี่ยนฝนเป็นทุน” ฟังตัวอย่างคนที่สามารถใช้ฝนเปลี่ยนเป็นทุนได้สำเร็จ กลับมามีรายได้ มีอาชีพ มีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แถมยังจัดการหนี้หลักล้านได้สำเร็จจากการเริ่มต้นธุรกิจด้วยน้ำ แต่ท่ามกลางน้ำหลากและน้ำแล้ง จะสร้างโอกาสจากการมีน้ำแก้จนได้อย่างไร โดยเฉพาะในเดือนกันยายนและตุลาคมที่น้ำหลากกำลังจะมา ซึ่งจะเป็นโอกาสสุดท้ายให้คว้าไว้ เพื่อรอดจนและเลิกแล้ง น้ำคือทุน ที่ไม่ต้องลงทุน เน้นปลูกผักโตเร็วสร้างรายได้ ตัวอย่างคนที่รอดจน มีรายได้ด้วยน้ำ “น้องหนิง” ลลิสสา อุ่นเมือง เครือข่ายการจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ ตำบลขุนควร อำเภอปง จ.พะเยา เล่าว่า ทำงานเป็น BA
กรมชลประทาน กำหนดทิศทางของการบริหารจัดการน้ำชลประทานในอนาคต โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากน้ำชลประทานที่ได้รับการพัฒนาแล้ว แทนการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนจากการพัฒนาเชิงปริมาณไปเป็นการพัฒนาเชิงคุณภาพ ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทาน ได้มุ่งเน้นและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำโดยใช้ประโยชน์จากน้ำชลประทานด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงกำหนดทิศทางของการบริหารจัดการน้ำชลประทานในอนาคตด้วยการเปลี่ยนจากการพัฒนาเชิงปริมาณไปเป็นการพัฒนาเชิงคุณภาพ โดยมีกระบวนการที่สำคัญที่สุดคือ การส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ใช้น้ำมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำชลประทานอย่างจริงจัง อาทิ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาผาจุก ทำการประชาสัมพันธ์เชิงรุกโดยการลงพื้นที่พบปะผู้นำชุมชนในพื้นที่ตำบลผาจุก และเกษตรกรผู้ใช้น้ำจากโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ (ฝั่งซ้าย) เขื่อนทดน้ำผาจุก อำเภอเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทาน โดยสร้างการรั
กรมชลประทาน เข้าร่วมประชุมหารือกรณีปัญหาความเสื่อมโทรมของ “ทะเลสาบสงขลา” พร้อมหาแนวทางแก้ไข หวังให้สภาพแวดล้อมของทะเลสาบสงขลากลับมาดีขึ้นดั่งเช่นในอดีต นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เข้าร่วมประชุมหารือกรณีปัญหาความเสื่อมโทรมของ “ทะเลสาบสงขลา” และแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมี พลเอกวิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจราชการแผ่นดิน เป็นประธานการประชุมฯ ร่วมกับ นายวรณัฏฐ์ หนูรอต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และ นายเดช เล็กวิชัย ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 16 พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช ณ ห้องประชุม โรงแรมต้นอ้อย แกรนด์ ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา การประชุมในครั้งนี้ เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาความเสื่อมโทรมของ “ทะเลสาบสงขลา” การดำเนินงานต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาวินิจฉัย และนำเสนอข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของทะเลสาบสงขลา ซึ่งในส่วนของกรมชลประทาน ได้
ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่ง ด้านการบริหารจัดการน้ำ เตือนอีอีซีรับมือกับน้ำล่วงหน้าก่อนเหมือนปี 2563 ที่ผ่านมา เสนอแนะให้มีมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากแผนแม่บท จัดตั้งองค์กรเฉพาะเพื่อการบริหารจัดการน้ำทุกภาคส่วนในอีอีซี พร้อมตั้งเป้าขยายผลการบริหารจัดการน้ำใน 4 เขื่อนหลัก และขยายงานโครงการชลประทานในแผนวิจัยปี 2 รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่ง ด้านการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเผยว่า จากแนวคิดการพัฒนาเทคนิคและระบบใหม่ให้เชื่อมโยงกับระบบวางแผนและบริหารน้ำในปัจจุบัน โดยเลือกประเด็นสำคัญมาพัฒนาเทคนิคเพื่อกลับเข้าไปใส่ในระบบที่มีอยู่ด้วยเทคนิคใหม่ได้ ตลอดจนพัฒนาการเชื่อมโยงของระบบและทดลองการรันคู่ขนานกับระบบปัจจุบันเพื่อการทดสอบได้ ซึ่งในปีแรกเป็นการวิจัยพัฒนาต้นแบบ ปีที่ 2 ประยุกต์ใช้ร่วมกับหน่วยงานปฏิบัติ และปีที่ 3 วิจัยเสริมพร้อมถ่ายทอดผลงานวิจัยให้กับหน่วยงานปฏิบัติต่อไป ผลการวิเคราะห์สภาพน้ำในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พบว่ามีโอกาสเกิดภ
วช. สานพลังนักวิจัยไทยสู้ภัยแล้ง 2020 สนับสนุนงานวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำ เร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เพิ่มมาตรการบริหารจัดการน้ำระดับชาติอย่างยั่งยืน เมื่อวันทึ่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาวิชาการ “ภาวะแล้ง 2020 และ แนวทาง มาตรการ บริหารจัดการเพื่อป้องกันในอนาคต” ณ ห้องประชุมแมนดาริน ซี โรงแรมแมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ การจัดงานครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการรวมตัวของนักวิจัยด้านน้ำระดับประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศ ไทยมากกว่า 200 คน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ มุ่งสร้างความร่วมมือกันบริหารจัดการน้ำ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญ เนื่องจากประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาอุทกภัย-ภัยแล้งซ้ำซากเป็นประจำอยู่ทุกปี พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการดำเนินงานวิจัย ส่งต่อข้อมูลการวิจัยสู่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาครัฐบาลเพื่อผลักดันงานวิจัยสู่การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานสัมมนากล่าวว่า วช. ให้ควา
สทนช. ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง บูรณาการความร่วมมือโครงการวิจัยร่วมบริหารจัดการน้ำแก้ไขอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย – น้ำรวก ระหว่างไทยและเมียนมา พร้อมนำเทคโนโลยีทันสมัยปรับใช้เพื่อความยั่งยืน หวังความสำเร็จของโครงการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน 2 ประเทศ เม่ื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 ดร. สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนด้านอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย-น้ำรวก ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (Joint assessment of Thailand and Myanmar on flood and drought for transboundary water resources management) ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ดร. สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อดำเนินโครงการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนด้านอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย-น้ำรวก ระห
จังหวัดสกลนคร – ผู้นำป่าชุมชน จำนวน 80 คน จาก 10 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วม กิจกรรม “สัมมนาเครือข่ายผู้นำป่าชุมชนกล้ายิ้ม” รุ่นที่ 21 ภายใต้โครงการ “คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ที่บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับกรมป่าไม้ จัดขึ้นตั้งแต่ ปี 2551 กิจกรรมปีนี้ได้มุ่งเน้นประเด็นการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความแปรปรวนของอากาศที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญในปีนี้ ซึ่งพื้นที่ที่เคยชุ่มชื้นจะต้องเผชิญกับภาวะแล้ง ส่วนพื้นที่ที่แห้งแล้งจะเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม อีกทั้งยังเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลกอีกด้วย นางบุญทิวา ด่านศมสถิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารองค์กร บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากข้อมูลพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนในภาคอีสานปีนี้จะลดน้อยลง เพราะผลกระทบจากปรากฏเอลนีโญ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรมสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ระดับครัวเรือนจนถึงเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศด้วย บริษัทจึงได้หยิบยกประเด็นการบริหารจัดการน้ำ มาเป็นสาระหลักของการสัมมนาผู้นำป่าชุมชนในปีนี้ และได้น้อมเกล้านำพระราชดำรั