จังหวัดอุบลราชธานี
ครอบครัวของ คุณมะโนทยาน พรมกอง อพยพจากอำเภอเดชอุดม มาตั้งหลักปักฐานอยู่บ้านเลขที่ 165 หมู่ที่ 7 บ้านเกษตรสมบูรณ์ ตำบลบุเปือย อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สมัยก่อน ถึงแม้น้ำยืน จะเข้าออกลำบาก แต่ก็ดินดำน้ำดีกว่าที่เดชอุดม…ดีไม่ดีอย่างไรให้สังเกตดูที่ชื่อหมู่บ้าน คือเกษตรสมบูรณ์ เมื่อเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ครอบครัวของคุณมะโนทยาน ปลูกข้าวไว้กิน ขณะเดียวกัน ก็ปลูกพืชไร่ จำพวกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง มีอยู่ช่วงหนึ่ง มะเขือพวงมีราคา จึงปลูกกันพอสมควร ทำให้ผลผลิตมีมาก หากนำไปขายในตัวเมืองอุบลฯ หรือที่ตลาดอำเภอวารินชำราบ ขายได้ราคาไม่ดี จึงต้องนำไปขายไกลถึงจังหวัดจันทบุรี คุณมะโนทยาน นำมะเขือพวงบรรทุกรถไปขายถึงเมืองจันท์ ซึ่งอยู่ไกลพอสมควร เมืองจันท์ในช่วงที่คุณมะโนทยานไปเห็นนั้นเป็นหน้าผลไม้ ตามข้างทางมีสวนเงาะสุกแดง ข้างทางบางแห่งมีทุเรียนวางขายอยู่เต็มไปหมด คณะที่ไปได้ซื้อชิมแล้วอร่อย ขณะที่นั่งรถกลับบ้าน คุณมะโนทยาน เริ่มคิดว่า น่าจะปลูกทุเรียน เพราะสภาพพื้นดินของอำเภอน้ำยืน สีเดียวกับเมืองจันท์ เพราะเป็นตะเข็บชายแดนติดต่อกับกัมพูชา ฝนฟ้าก็ตกดี แหล่งน้ำก็หาได้ ไปขายมะเขือพวงเที่ยวใหม่ ข
“พุทรา” เป็นผลไม้ดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมในยุคเก่าแก่ มีทั้งรสเปรี้ยวหวาน รสฝาดปนหวาน จึงรับประทานสดหรือจิ้มพริกเกลือแล้วแต่ความชอบ ถึงตอนนี้พุทรายังมีอยู่เพียงแต่ลดความนิยมลงไปจึงไม่ค่อยพบเห็น เพราะมีผลไม้เด่นหลายชนิดมาเบียดแซง พุทราถูกปรับปรุงพันธุ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดจึงมีพันธุ์หลายชนิดและพันธุ์พุทราที่นิยมปลูกในไทย ได้แก่ พุทราไทยพื้นเมือง สามรส บอมเบย์ หรือแอปเปิ้ล เจดีย์ เหรียญทอง ถ้วยทอง ไข่เต่า พุทราจีน นมสด จัมโบ้ น้ำผึ้ง เป็นต้น ขณะเดียวกัน พุทราสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่ชอบดินร่วนปนทรายมากกว่า ชอบอากาศร้อน ชอบแสงแดดเพียงพอ ควรปลูกในฤดูฝน ปลูกได้หลายวิธี ทั้งเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ติดตา เสียบยอด และทาบกิ่ง ซึ่งนิยมวิธีนี้มากกว่าเพราะให้ผลผลิตเร็วเหมาะกับการปลูกเชิงพาณิชย์ ชาวบ้านจังหวัดอุบลราชธานี โดยเฉพาะที่บ้านบัวเทิง ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ ปลูกพุทรากันหลายครัวเรือน ปลูกเชิงพาณิชย์ เพราะราคาดี ในช่วงผลผลิตมีพ่อค้ามารับซื้อที่สวนเพื่อนำไปขายในพื้นที่จังหวัด แม้มีปริมาณมากแต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ตลาดสินค้าเกษตรก้าวหน้า เล่มนี้ ชักชวนผู้อ่านไปรู้จักกั
เมื่อวันที่ 21 ก.ย.64 ณ ห้องประชุมค้ำคูณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุบลราชธานี นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานอัญเชิญรับโล่รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” ให้แก่หมู่บ้านที่ชนะเลิศการประกวดกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น ประจำปี 2564 มอบโล่รางวัลสิงห์ทองให้แก่ผู้นำกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่นและมอบเข็มเชิดชูเกียรติผู้นำกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น และมอบโล่รางวัลและใบประกาศเชิดชูเกียรติผู้นำการเปลี่ยนแปลงดีเด่น ประจำปี 2564 ตามโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรม “มหกรรมรวมพลังคนดีแห่งแผ่นดิน” ประจำปี 2564 ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ได้รับรางวัลดังนี้ รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” หมู่บ้านที่ชนะเลิศการประกวดกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น ประจำปี 2564 ได้แก่ หมู่บ้านสองคอน หมู่ที่ 10 ตำบลตบหู อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี รางวัลผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนชายดีเด่นระดับจังหวัด นายสมหมาย หงส์คำผิว ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน ตำบลบ้านแมด อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี รางวัลผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนหญิงดีเด่นระดับจังหวัด นางสาวรุ่งเรือง สีหาบุตร ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่บริเวณถนนด้านข้างหอประชุมอำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นายสันติพงษ์ สมศรี นายอำเภอเขื่องใน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมมอบเจลแอลกอฮอล์ และหน้ากากอนามัยให้กับตัวแทนผู้ค้าขายในตลาด เพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย โดยตลาดสินค้าเกษตรดังกล่าว จัดให้มีกิจกรรมการจำหน่ายสินค้าของเกษตรกรจากกลุ่มสัมมาชีพ กลุ่มสินค้า OTOP ในพื้นที่อำเภอเขื่องใน ซึ่งจัดในรูปแบบงานมหกรรมสินค้าเกษตรประจำอำเภอ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดของสินค้าต่างๆ ของกลุ่มผู้ผลิต และเกษตรกรทั่วไป เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้เกษตรกรนำพืชผลของตนเองมาจำหน่าย และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกด้วย ทั้งนี้ ที่ผ่านๆ มา เกษตรกรชาวอำเภอเขื่องใน ได้นำผลผลิตทางการเกษตรไปขายตามตลาดนัดต่างๆ ต่อมาโรคโควิด-19ระบาด ทำให้ตลาดนัดหลายแห่งปิดตัวลง ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักและไม้ผ
กลุ่มแปลงใหญ่มันสำปะหลังตำบลนาโพธิ์ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี มีจุดเด่นในเรื่องของการตลาดนำการผลิต ซึ่งตลาดมีความต้องการมันสำปะหลังอินทรีย์ จึงมีการร่วมกันผลิตมันสำปะหลังให้ได้มาตรฐานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ช่วยขจัดปัญหาในเรื่องของราคาที่ผันผวน และผลผลิตล้นตลาด สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่สูงกว่ามันสำปะหลังทั่วไป สามารถตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้ดี ผลผลิตดี และสิ่งแวดล้อมที่ดี และที่สำคัญมีตลาดที่ได้เซ็น MOU ไว้ ซึ่งทางผู้รับซื้อผลผลิตจะแจ้ง ปริมาณ คุณภาพ และราคารับซื้อล่วงหน้า โดยกลุ่มจำหน่ายผลผลิตให้กับกลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล ในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดมากกว่า 2.5 เท่า จึงทำให้เกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่มันสำปะหลังตำบลนาโพธิ์ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่แน่นอน และมีสุขภาพที่ดี นางสมพิศ นารัตน์ ประธานกลุ่มแปลงใหญ่มันสำปะหลังตำบลนาโพธิ์ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในการปลูกมันสำปะหลัง เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการกำจัดวัชพืช และจำหน่ายมันสำปะหลังในราคาตามท้องตลาดทั่วไป
ผู้สื่อข่าวของเราประจำจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ส.ส. คนดัง แห่งเมืองดอกบัว ที่ครองแชมป์มา 9 สมัย ไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้งๆ คนดังที่ชื่อ คุณชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากว่า ส.ส.กุ่ย ก็ผ่านตลอด เพราะเป็นคนที่พูดจาฉะฉาน จริงจังและจริงใจต่อผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม ยิ้มแย้ม แจ่มใส มาตั้งแต่วัยเด็ก และยังเป็นคนติดดิน กินง่าย นอนง่าย สบายๆ กับเพื่อนพ้องและพี่น้องประชาชนทุกชนชั้น ถึงวันเลือกตั้งคราใด จึงไม่มีใครลืม คุณชูวิทย์ (กุ่ย) พิทักษ์พรพัลลภ อีกมุมหนึ่ง ของ คุณชูวิทย์ (กุ่ย) พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.คนดัง ปัจจุบันอยู่ในวัย 50 ปีเศษ เป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ เลี้ยงทั้งโค กระบือ และเสือ รวมทั้งสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่ชอบเลี้ยงที่สุดน่าจะเป็นโคหรือวัว เพราะคุณชูวิทย์ได้เลี้ยงมาตั้งแต่วัยหนุ่ม สมัยยังไม่ได้ลงเล่นการเมือง ขนาดเคยประกอบอาชีพรับราชการครู ยังลาออกมาประกอบอาชีพค้าขายและเลี้ยงสัตว์และทำธุรกิจอื่นๆ และยังได้สวมบทเป็นนายฮ้อย หรือพ่อค้าวัว ออกตระเวนซื้อขายวัว-ควาย ตามตลาดนัดโค-กระบือในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และตามต่างจังหวัดอี
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย ผอ. กองไฟฟ้าเขื่อนอุบลรัตน์, หัวหน้ากองโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร เขื่อนปากมูล, นายอำเภอสิรินธร, นายอำเภอโขงเจียม, ผู้แทนภาคประชาชน ผู้แทนประธานหอการค้าภาคอีสาน ร่วมเป็นสักขีพยานปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลทั้ง 8 บาน อย่างเป็นทางการด้วยระบบ automatic หรือระบบอัตโนมัติ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานปิดประตูระบายน้ำอย่างเป็นทางการ ที่เขื่อนปากมูล อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งภายหลังปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูล นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้กล่าวว่า การปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลในครั้งนี้เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อส่งเสริม การเกษตรและเลี้ยงสัตว์ การอุปโภคบริโภคของประชาชนที่อาศัยแถบลุ่มแม่น้ำมูลและบริเวณเขื่อนปากมูล ในพื้นที่ 3 อำเภอ รวมทั้ง การท่องเที่ยวและเป็นการปิดประตูระบายน้ำ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย สำหรับบรรยากาศหลังปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูล ปรากฏว่าพี่น้องประชาชนจากอำเภอสิรินธร และอำเภอโขงเจียม จังหวั
สยามคูโบต้า ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จังหวัดอุบลราชธานี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) ในจังหวัดอุบลราชธานี ปั้นโมเดล “อุบลราชธานี เมืองต้นแบบปลอดการเผา” มุ่งแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในภาคการเกษตร รวมถึงส่งเสริมระบบบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ภายใต้องค์ความรู้ KUBOTA (Agri) Solutions เกษตรครบวงจร สานต่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน นายวีรพงศ์ วิรบุตร์ ผู้จัดการภาคอีสานอาวุโส – แทรกเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง บริษัท สยาม คูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ “ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5” โดยกว่า 50% เกิดจากการเผาในที่โล่ง ซึ่งรวมถึงการเผาในพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน สยามคูโบต้าในฐานะผู้นำด้านเครื่องจักรกลการเกษตรในภูมิภาคอาเซียน ได้เล็งเห็นความสำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าว จึงดำเนินโครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn) เพื่อพัฒนาภาคเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืน” ในปี พ.ศ. 2562 สยามคูโบต้า เกิดแนวคิดในการจัดตั้ง “โครงการเกษตรปลอดการเผา (Zero Burn)” โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาค
บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (เครือซีพี) ร่วมกับ จังหวัดอุบลราชธานี เหล่ากาชาดจังหวัดอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หน่วยงานภาครัฐ ทหาร ตำรวจ สถาบันการศึกษา และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยมี นายอุทัย ทองเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นางยุพาภร วิฑูรย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอุบลราชธานี ผศ.ดร. ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ พันเอกปภังกร หมื่นสา รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ และผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ นายอุทัย ทองเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 68 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พสกนิกรชาวไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ จึงได้พร้อมใจทำความดีด้วยการบริจาคโลหิตช่วยชีวิตผู้เจ็บป่วยโดยมิได้มุ่
เพื่อนบ้านบอกสองผัวเมียปลูกทุเรียนบนดินทรายเป็นบ้า แต่เวลาผ่านไปไม่กี่ปี ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อทุเรียนออกผลสร้างรายได้ให้ปีละหลายแสนบาท ภาครัฐเข้าหนุนสร้างช่องทางทำกินให้ชาวบ้านในละแวกเดียวกัน วันนี้ จะพาไปชมสวนทุเรียนที่เดียวในอีสาน หรือในประเทศก็ว่าได้ที่ปลูกต้นทุเรียนราชาแห่งผลไม้ในดินทราย โดยเริ่มแรก คุณสมัย หรือเพื่อนบ้านเรียก พ่อสมัย สายเสน อายุ 63 ปี เกษตรกรชาวนา หมู่บ้านโคกใหม่พัฒนา หมู่ ที่ 10 ตำบลโนนกลาง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี เบื่ออาชีพทำนาปลูกข้าว ที่ยึดมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ เพราะผืนนาเป็นนาโคก และพื้นดินยังเป็นดินทรายปนดินเหนียว ปีหนึ่งๆ ต้องรอฟ้าฝน เพื่อเอาน้ำมาปลูกข้าวได้เพียงปีละครั้ง และไม่มีความแน่นอนเรื่องผลผลิตข้าวด้วย ในช่วงวัยหนุ่ม พ่อสมัย นอกจากทำนาปลูกข้าว ยังตระเวนไปรับจ้างเป็นคนงานตามสวนผลไม้แถวภาคใต้ มีครอบครัวก็กลับมาทำอาชีพขายรองเท้าตามตลาดนัดกับภรรยา และปลูกข้าวปีละครั้ง พอมีรายได้เลี้ยงครอบครัวและมีข้าวไว้กินในแต่ละปี แต่เมื่ออายุสูงขึ้น ก็เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพที่เสื่อมถอย การขับรถตระเวนไปขายรองเท้าตามตลาดนัดก็เริ่มมีอุปสรรค ตาฝ้าฟางกลัววันไห