สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร
ลิ้นจี่ พันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เป็นลิ้นจี่ที่คัดเลือกและพัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร จนปัจจุบันเป็นผลไม้และเป็นสินค้า GI ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครพนม ข้อมูลปี 2560 มีผลผลิตรวม 580.8 ตัน พื้นที่เก็บเกี่ยว 1,098 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 2,711 ไร่ พันธุ์ลิ้นจี่ที่ปลูกในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่ปลูกในภาคกลางและภาคอื่นๆ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นที่ไม่เย็นมากและระยะเวลาหนาวเย็นที่ต่อเนื่องกันไม่นานก็สามารถชักนำให้ออกดอกได้ เรียกว่า ลิ้นจี่กลุ่มพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเมษายน เช่น พันธุ์ค่อม สำเภาแก้ว เขียวหวาน กระโถนท้องพระโรง สาแหรกทอง และพันธุ์นครพนม 1 เป็นต้น 2.กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นมากและต่อเนื่องยาวนานในการกระตุ้นและชักนำการออกดอก ให้ผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เช่น พันธุ์ฮงฮวย จักรพรรดิ กิมเจ็งบริวสเตอร์ และกิมจี๊ เป็นต้น ลิ้นจี่พันธุ์เบา มีข้อได้เปรียบคือ ให้ผลผลิตเร็ว ช่วงที่ผลผลิตมีน้อย ทำให้ขายได้ราคาสูง ควรจะมีการส่งเสริมให้ปลูกในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งพันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เหมาะส
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เวทีวิจัยสัญจร เป็น นวัตกรรมเชิงกระบวนการที่ได้จากการวิจัยและพัฒนา “รำแดงโมเดล เกษตรตามศาสตร์พระราชาเพื่อพัฒนาการการเกษตรให้ชุมชนพึ่งตนเอง” เวทีวิจัยสัญจร เป็นการจัดเวทีประชุมของนักวิจัย นักพัฒนา นักส่งเสริม เกษตรกร และผู้มีส่วนได้เสียในการพัฒนาการผลิตพืช โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ ความคิด ผลงานวิจัย ภูมิปัญญา และประสบการณ์ในการทำการเกษตร ในจัดเวทีวิจัยสัญจร จะจัดเวทีประชุมที่บ้านและไร่นาเกษตรกรหมุนเวียนกันไปในแต่ละรายประมาณ เดือนละ 1-2 ครั้ง กิจกรรมที่ดำเนินการในการจัดเวทีวิจัยประกอบด้วย 1 ของฝากจากเพื่อนบ้าน เพื่อรื้อฟื้นวัฒนธรรมการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยผู้มาร่วมเวทีนำพันธุ์พืช หรือผลผลิต ไปเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เจ้าของบ้านที่ไปเยี่ยมเยียน หรือแลกเปลี่ยนกันกับเพื่อนบ้านที่มาร่วมเวที 2 เรื่องเล่าจากเจ้าของบ้าน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยเจ้าของบ้านจะเล่าชีวประวัติ ประสบการณ์การทำงาน การต่อสู้ชีวิต ตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน จะทำให้ผู้ร่วมเวทีได้เพิ่มความรู้จักกันมากขึ้น และได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต นอกจากนั
7 มิถุนายน ของทุกปี จะเป็นวันความปลอดภัยอาหารโลก ในปี นี้ FAO และ WHO ให้คำขวัญวัน World Food Safety Day 2022 ว่า Safer food, better health ซึ่งกรมวิชาการเกษตร มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางอาหารพืช โดยทำการวิจัย พัฒนา เทคโนโลยีที่เหมาะสม พร้อมทั้งทำการตรวจสอบรับมาตรฐานการผลิตพืชปลอดภัยดร.จิระ สุวรรณประเสริฐ ผอ. สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 8 (สวพ.8) กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สวพ.8 ได้รับนโยบายจากนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในการพัฒนาพืชอาหารปลอดภัยในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ สงขลา พัทลุง ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในแต่ละปี สวพ.8 จะดำเนินงานในด้านการตรวจสอบและให้การรับรองการผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP และ เกษตรอินทรีย์ Organic Thailand โดย ณ ปัจจุบันกลุ่มถ่ายทอดเทคโนโลยี สวพ.8 รายงานว่า มีเกษตรกรที่ได้การรับรอง รวม แปลง 15,114 แปลง 41,559 ไร่ อยู่ในจังหวัดสงขลา 2,636 แปลง 4,694 ไร่ พัทลุง 1,995 แปลง 5,126 ไร่ ตรัง 2,109 แปลง 3168 ไร่ สตูล 1,599 แปลง 4,297 ไร่ ปัตตานี 1,403 แปลง 4,617 ไร่ ยะลา 3,265 แปลง 14,0
ก่อนเข้าถึงเนื้อหา ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า อำเภอสะเมิง เป็นพื้นที่ภูเขาสูง ฉะนั้น จะมีพื้นที่ราบสำหรับทำนาน้อย จะได้ข้าวประมาณ 100 ถัง ขายได้เงินประมาณ 10,000 บาท เมื่อปี 2557 สถาบัน IQS เข้ามาส่งเสริมการผลิตหญ้าหวาน จึงตัดสินใจทดลองปลูก จำนวน 1 ไร่ จนถึงปัจจุบันเปรียบเทียบแล้วมีรายได้มากกว่าการปลูกข้าวถึง 7 เท่า ต่อปี หญ้าหวานนั้น หลังจากปลูกได้ 30 ถึง 45 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว โดยทยอยเก็บทุกวัน ส่วนหญ้าหวานสด 10 กิโลกรัม เมื่อตากแห้งในโรงเรือนหลังคาพลาสติก หากแดดจัด ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง จะเหลือน้ำหนักแห้งประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม คุณภาพของหญ้าหวานจะแตกต่างกันในแต่ละฤดูกาลคือ หน้าร้อนและหน้าฝนใบจะบางต้นสูง แต่หน้าหนาวใบจะหนาต้นจะเตี้ย หญ้าหวานถือเป็นพืชทนแล้ง จากช่วงแล้งที่ผ่านมาไม่มีน้ำรดระยะเวลาเป็นเดือนก็ไม่ได้รับผลกระทบ สามารถปลูกเป็นพืชทางเลือกทดแทนข้าวที่มีปัญหาด้านราคาอยู่ในขณะนี้ และเป็นพืชทนแล้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำได้อีกด้วย คุณละออง ศรีวรรณะ เกษตรกรบ้านอมลอง บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 2 ตำบลแม่สาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ผลิตหญ้าหวานมาตรฐานออร์แกนิกไทยแลนด์
สวพ.8 วิจัยและพัฒนาระบบการผลิตพืชในพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ด้านเกษตรและอุตสาหกรรม ลุยแก้ปัญหาพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง และน้ำท่วมซ้ำซากและใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของพืชพรรณในพื้นที่ชุ่มน้ำ นายจิระ สุวรรณประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 สงขลา (สวพ.8) กรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า จากปัญหาพื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมขัง น้ำท่วมซ้ำซากกระจายอยู่ในพื้นที่ 52 จังหวัดของประเทศไทย รวมเป็นพื้นที่ 10.6 ล้านไร่ ซึ่งในพื้นที่ภาคใต้มี 8 จังหวัด ที่ประสบปัญหาดังกล่าว ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สุราษฎร์ธานี และ สงขลา มีเนื้อที่รวมประมาณ 294,484 ไร่ จึงเป็นปัญหาหนึ่งที่มีความจำเป็นที่ต้องมีการวิจัยและพัฒนาระบบการผลิตพืชในพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อให้เกิดการจัดการที่เหมาะสม และลดผลกระทบจากปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้ดำเนินการในปี 2559-2564 ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นางสาวมนต์สรวง เรืองขนาบ
คุณอนันต์ อักษรศรี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากภารกิจที่ได้รับมอบหมายจาก คุณพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ให้กำกับดูแลการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายของหน่วยงานในส่วนภูมิภาคที่รับผิดชอบ ซึ่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตรมีนโยบายหลักต้องการให้หน่วยงานในพื้นที่ส่วนภูมิภาคนำผลงานวิจัยในทุกด้านของกรมวิชาการเกษตรขยายผลไปสู่เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจากการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้างานตามนโยบายดังกล่าวในเขตพื้นที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก ได้รับรายงานความก้าวหน้างานวิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชจำนวน 3 พืช ได้แก่ มะนาว ส้มโอ และมันเทศ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งคาดว่าจะเสนอพันธุ์พืชทั้ง 3 พันธุ์ให้เป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรได้ในปี 2565 มะนาว สายต้น 1-02-07-2 และสายต้น 1-07-01-4 ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร โดยนำมะนาวพันธุ์พิจิตร 1 ไปฉายรังสีแกมมา เพื่อให้มีเมล็ดน้อยลง เปลือกบางและยังคงทนทานต่อโรคแคงเกอร์เหมือนพันธุ์เดิม โดยได้คัดเลือกสายต้นมะนาวพันธุ์พิจิตร 1
คุณนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 11 อุบลราชธานี (สศท.11) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จังหวัดอุบลราชธานีนับเป็นแหล่งผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี (ณ 31 มีนาคม 2564) พบว่า มีพื้นที่ปลูก 14,048 ไร่ พื้นที่เก็บเกี่ยว 13,978 ไร่ ผลผลิตรวม 48,224 ตัน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และกรมวิชาการเกษตร ผสานความร่วมมือกับภาคเอกชนให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต การใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมการผลิต รวมถึงการตรวจรับรองมาตรฐานการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ นอกจากนี้ มีเกษตรกรบางพื้นที่ได้เข้าร่วมโครงการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ของบริษัทที่เข้ามาส่งเสริมภายใต้การทำ Contract Farming เนื่องจากเกษตรกรมีแรงจูงใจในเรื่องราคาที่ให้ผลตอบแทนดีกว่ามันสำปะหลังทั่วไป และมีตลาดรองรับที่แน่นอน จากการติดตามสถานการณ์การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ปัจจุบันเกษตรกรหันมาปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์กันมากขึ้น โดยบริษัท อุบลไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) ได้ทำ Contract Farming ก
สวพ.6 กรมวิชาการเกษตร ประกาศวันทุเรียนแก่ “10 เม.ย. 64” ในพื้นที่ จันทบุรี ระยอง ตราด หวังสกัดการส่งออกทุเรียนอ่อน พร้อมยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยทุเรียน ตั้งแต่สวนทุเรียน โรงบรรจุภัณฑ์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อทุเรียนทั่วโลก นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี (สวพ.6) สังกัดกรมวิชาการเกษตร ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ปราจีนบุรี เปิดเผย “เทคโนโลยีชาวบ้าน” ว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา สวพ.6 ได้ประชุมร่วมกับชาวสวนทุเรียน สมาคมทุเรียนไทย ผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน เพื่อคุมเข้มการส่งออกทุเรียนอ่อน นอกเหนือจากใช้มาตรการปกติที่ใช้กันมาทุกปี ซึ่งปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่ประชุมมีมติให้ประกาศ “วันทุเรียนแก่” ของทุเรียนหมอนทอง เพื่อให้เกษตรกร ล้ง และผู้ส่งออก รับรู้ทั่วกันอย่างเป็นทางการ สาเหตุที่เลือก “วันที่ 10 เมษายน 2564” เป็นวันทุเรียนแก่ เนื่องจาก แหล่งปลูกทุเรียนหมอนทองส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออก คือ จันทบุรี ระยอง และตราด จะมีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจ
กรมวิชาการเกษตร วิจัยสำเร็จเห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทย คุณสมบัติโดดเด่นให้สารสำคัญด้านสุขภาพบำรุงสมองดีต่อหัวใจ รองรับสังคมสูงวัยและกลุ่มรักสุขภาพ ปรุงเป็นอาหารกลิ่นไม่คาว เนื้อกรุบกรอบไม่เปื่อยยุ่ย ลุยถ่ายทอดเทคโนโลยีเพาะเห็ดสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 3,000 บาท / แปลง นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในแต่ละปีประเทศไทยนำเข้าเห็ดร่างแหชนิดอบแห้งไม่ต่ำกว่า 6,500 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาทจากประเทศจีน ซึ่งมีการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีการเพาะเห็ดร่างแหอย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่า 80 ปี ในขณะที่หลายประเทศพยายามพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเห็ดร่างแห เพราะเป็นเห็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญมากมายหลายชนิด ดังนั้นเห็ดร่างแหจึงเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการในปริมาณมาก ในปี 2559–2563 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสงขลา สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 ได้ศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเห็ดร่างแหสายพันธุ์ไทยที่เหมาะสมในพื้นที่ภาคใต้ภายใต้แนวคิดเป็นเห็ดสายพันธุ์ใหม่ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยบำบัดโรค ที่สำคัญสามารถสร้างรายได้
ลิ้นจี่พันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เป็นลิ้นจี่ที่คัดเลือกและพัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร จนปัจจุบันเป็นผลไม้และเป็นสินค้า GI ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครพนม ข้อมูลปี 2560 มีผลผลิตรวม 580.8 ตัน พื้นที่เก็บเกี่ยว 1,098 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 2,711 ไร่ ซึ่งพันธุ์ลิ้นจี่ที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ปลูกในภาคกลางและภาคอื่น ๆ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นที่ไม่เย็นมากและระยะเวลาหนาวเย็นที่ต่อเนื่องกันไม่นานก็สามารถชักนำให้ออกดอกได้ เรียกว่า ลิ้นจี่กลุ่มพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเมษายน เช่น พันธุ์ค่อม สำเภาแก้ว เขียวหวาน กระโถนท้องพระโรง สาแหรกทอง และพันธุ์นครพนม 1 เป็นต้น กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นมากและต่อเนื่องยาวนานในการกระตุ้นและชักนำการออกดอก ให้ผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เช่น พันธุ์ฮงฮวย จักรพรรดิ์ กิมเจ็งบริวสเตอร์ และกิมจี๊ เป็นต้น ลิ้นจี่พันธุ์เบามีข้อได้เปรียบ คือ ให้ผลผลิตเร็ว ช่วงที่ผลผลิตมีน้อย ทำให้ขายได้ราคาสูง ควรจะมีการส่งเสริมให้ปลูกในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งพันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เหมาะส