แหล่งน้ำ
‘ไอ.ซี.ซี.’ จับมือ ‘มูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ’ พัฒนาแหล่งน้ำ ‘ชุมชนเพชรน้ำหนึ่ง’ จ.เพชรบุรี 3 พลังประสาน สู่ความสำเร็จยั่งยืน “… หลักสำคัญว่า ต้องมีน้ำ น้ำบริโภคและน้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำ คนอยู่ได้… ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้า คนอยู่ได้… แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้…” ข้างต้นคือพระราชดำรัสใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ปี 2539 สะท้อนถึงคุณค่าของน้ำต่อชีวิต ทั้งในแง่บริโภคและอุปโภค ด้วยเหตุนี้ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ จึงสนับสนุนงบประมาณรวม 3.14 ล้านบาท โดยร่วมกับ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่น้อมนำแนวพระราชดำริเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มาเป็นหลักคิดและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่ต่างๆ และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) รวมถึงชาวบ้าน ชุมชนเพชรน้ำหนึ่ง ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี พัฒนาแหล่งน้ำ สร้างแปลงเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ และสร้างอาคารบรรจุและเก็บรักษาผลผลิต พลิกฟื้นที่ดินแห้งแล้งหลายพันไร่
ข้าวเม่า จัดเป็นอาหารว่างอย่างหนึ่งที่มีกลิ่นหอม รสอร่อย เป็นที่นิยมรับประทานในหมู่คนทางภาคอีสานอย่างกว้างขวาง และในปัจจุบันนี้พบว่า ประชาชนในภาคอื่นๆ ก็นิยมรับประทานข้าวเม่าด้วยเช่นกัน บางท้องที่นำข้าวเม่ามาแปรรูปเป็นขนมหวานในรูปแบบต่างๆ กัน ที่สำคัญเมื่อรับประทานแล้ว จะทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานเหมือนกับการรับประทานข้าว ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าข้าวเม่านั้นทำมาจากข้าวดีๆ นี่เอง จะเรียกว่าเป็นอาหารว่างหรือขนมก็ไม่ผิด การทำข้าวเม่า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชนบท ที่มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณกาล ในอดีตพบว่า ชาวนาจะทำข้าวเม่าเพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารว่างและใช้เป็นของฝากญาติพี่น้อง แต่คนเก่าแก่บอกว่า นอกจากทำเพื่อรับประทานแล้ว ยังทำเพื่อนำไปเซ่นไหว้ผีเจ้าปู่ที่รักษาไร่นา หรือที่เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสานว่า ผีตาแฮก นั่นเอง เหตุที่ต้องเซ่นไหว้ก็เพราะว่าต้องการให้ ผีตาแฮก ดลบันดาลให้นาข้าวได้ผลผลิตสูงในปีนั้นๆ แต่ในปัจจุบันนอกจากจะทำข้าวเม่าตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านยังทำเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมยามเว้นว่างจากการทำนาในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ในแต่ละปี และมีบางหมู่บ้านหรือบางครอบครัวที
ปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำ คือชีวิตของเกษตรกร หลังกรมส่งเสริมสหกรณ์ เดินหน้าโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาแก่สมาชิกสถาบันเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ที่อนุมัติจัดสรรเงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 300 ล้านบาท ให้แก่กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อนำไปดำเนินโครงการดังกล่าว โดยเบิกจ่ายจากเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนำไปสนับสนุนเงินกู้แก่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศในการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรของตนเอง ให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้เพียงพอตลอดฤดูกาลผลิตและตลอดทั้งปี โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี ตั้งแต่ ปี 2559-2564 โดยปลอดการชำระหนี้ 2 ปีแรก หลังจากนั้น แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ภายใน 5 ปีตามระยะเวลาของโครงการ ปัจจุบัน โครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าอย่างมาก มีสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เข้าร่วมโครงการ จำนวน 6,010 ราย แบ่งเป็นขุดสระเก็บกักน้ำ 2,016 ราย ขุดเจาะบ่อบาดาล 2,715 ราย และจัดหาเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องสูบน้ำ ท่อส่งน้ำในระบบน้ำหยดหรือพ่นละอองน้ำอีก จำนวน 1,279 ร
ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 320 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่การเกษตรประมาณ 149 ล้านไร่ เป็นพื้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานได้ประมาณ 60 ล้านไร่ ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ชลประทานไปแล้วกว่า 33 ล้านไร่ ยังคงเหลือประมาณ 27 ล้านไร่ ที่จะต้องดำเนินการต่อไป กรมชลประทานได้เร่งรัดงานพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ โดยกำชับให้ทุกโครงการแล้วเสร็จภายในกรอบงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์จากโครงการได้อย่างเต็มศักยภาพ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กำหนดไว้ ในการเร่งรัดและพัฒนาแหล่งน้ำเดิมควบคู่กับการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่ เป้าหมายของกรมชลประทานที่จะพัฒนาพื้นที่ชลประทานให้ได้อีก 18 ล้านไร่ ในส่วนของปริมาณน้ำท่ามีเฉลี่ยปีละ 280,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถเก็บกักน้ำได้เพียง 82,000 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 37 กรมชลประทานจึงต้องหาแนวทางเก็บกักน้ำให้ได้เพิ่มขึ้น เป้าหมายใน 20 ปีข้างหน้าคือเพิ่มปริมาณน้ำให้ได้ 13,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อเพียงพอต่อความต้อ
นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการดำเนินการโครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทานในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยมีสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำเนินการ โดย สศก. ได้ติดตามโครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทานในเขตปฏิรูปที่ดิน จังหวัดกระบี่ พบว่า การก่อสร้างฝายคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) กั้นคลองบางเตา ในพื้นที่บ้านใสน้ำจม หมู่ที่ 5 ตำบลโคกหาร อำเภอเขาพนม ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560 ขนาดปริมาณกักเก็บน้ำ 343 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับประโยชน์ 300 ไร่ จากการสำรวจในพื้นที่ พบว่า บริเวณนี้เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน อาศัยน้ำฝนในการทำเกษตร เกษตรกรประกอบอาชีพปลูกปาล์มน้ำมัน และยางพารา เป็นหลัก ไม่มีรายได้เสริมจากการปลูกพืชชนิดอื่น เมื่อมีการก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำในรูปแบบฝาย ค.ส.ล. ที่สามารถชะลอน้ำและกักเก็บน้ำในคลองให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับปลูกพืชอายุสั้นที่ได้ผลตอบแทนเร็ว ประเภทพืชผัก ปลูกแซมในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมัน/ยางพารา โดยเกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จากฝาย มีการรวมกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อร่วมดูแลรักษา วางแผนการผลิต และการตลาด มีการรวมกันจำหน่ายผลผลิตโดยจะมีต
กรมส่งเสริมการเกษตรห่วงพื้นที่ปลูกข้าวรอบ 2 และไม้ผลเสี่ยงขาดแคลนน้ำช่วงฤดูแล้งหนักในรอบ 40 ปี พร้อมสร้างการรับรู้แนะเกษตรกรดูแลพืชผลอย่างถูกวิธี นายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตรมีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ โดยในรอบปี 2562 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งปีที่แล้วมีฝนตกทั้งปี 1,342.6 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับปีที่แล้งมากคือ ปี 2558 มีฝนตก 1,419.6 มิลลิเมตร จะเห็นได้ว่าปี 2562 ฝนตกน้อยกว่า ปี 2558 และจากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยานับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ยังพบว่า ปี 2562 มีฝนตกน้อยที่สุดในรอบ 40 ปี โดยเฉพาะฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคม – เดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา มีฝนตกทั้งประเทศเพียง 1,114 มิลลิเมตร น้อยกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 12 ทำให้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีน้ำใช้การเหลือน้อยไม่เกินร้อยละ 30 ของความจุอ่าง จำนวน 14 แห่ง เมื่อฝนตกน้อยน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติก็มีเหลืออยู่น้อยเช่นกัน จึงไม่สามารถส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกตามปกติได้ แม้ระยะนี้จะมีฝนตกลงมาบ้างก็ตามแต่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ยังคงอยู่ในเกณฑ์น้อย
ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาภัยแล้งคุกคามภาคการเกษตรทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เกษตรกรเดือดร้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ผ่านมาสภาเกษตรกรแห่งชาติได้ประสานไปยังกระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อขอการสนับสนุนระบบสูบน้ำจากบ่อบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้โครงการสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์(โซล่าเซลล์) ซึ่งเมื่อปีงบประมาณ 2562 สภาเกษตรกรแห่งชาติได้ขอการสนับสนุนงบประมาณ 300 บ่อ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม ได้รับงบประมาณสนับสนุนประมาณ 27 ล้านบาท จังหวัดร้อยเอ็ด ประมาณ 20 ล้านบาท จังหวัดศรีสะเกษ ประมาณ 19 ล้านบาท จังหวัดอำนาจเจริญ ประมาณ 3.9 ล้านบาท จังหวัดนครราชสีมา ประมาณ 3 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับเกษตรกรที่ได้รับการสนับสนุนมีความพึงพอใจเพราะสามารถลดต้นทุนการผลิต ค่าไฟไม่ต้องเสีย การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย น้ำที่ได้จากการสูบด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์นำไปใช้เพื่อกิจกรรมในช่วงฤดูแล้งที่ปกติไม่มีน้ำใช้เพื่อการประกอบอาชีพ อาทิเช่น ปลูกพืชผักสวนครัว พืชไร่
สวัสดีครับ คอลัมน์ “คิดใหญ่แบบรายย่อย The challenge of smallscale farmers” กับผม ธนากร เที่ยงน้อย ฉบับนี้เต็มใจพาท่านไปพบกับชุมชนที่เข้มแข็ง ผู้นำชุมชนและลูกบ้านก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ในงานสายพัฒนา ที่ทำได้ดีจนถูกยกให้เป็นตัวอย่างในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องการพัฒนาอาชีพ การพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชน ตามผมไปดูกันครับ ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ พาท่านมาพบกับ คุณพิเชษฐ์ เจริญพร ผู้ใหญ่บ้านหนองสามพราน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ใหญ่พิเชษฐ์ เริ่มต้นเล่าว่า “ผมเองไม่ใช่คนกาญจนบุรี แต่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว ตั้งแต่ผมเรียนจบจากคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็มาอยู่ที่กาญจนบุรีเรื่อยมา เมื่อก่อนที่นี่ร้อน แห้งแล้งมาก ผมก็ทำมาหากินอยู่ที่นี่ค่อยๆ เรียนรู้เรื่องการพัฒนาชุมชนจากผู้หลักผู้ใหญ่ จนถึงวันนี้ที่ต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้นำชุมชนที่ต้องช่วยพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของลูกบ้านอีกหลายชีวิต” ผลจากการพัฒนาหมู่บ้านของผู้นำชุมชนรุ่นเก่ารวมทั้งผลงานของผู้ใหญ่พิเชษฐ์ ได้ทยอยออกดอกผลให้คนในชุมชนชื่นใจแล้ววันนี้ พัฒนาแหล่งน้ำ หัวใจสำคัญสำหรับการเ
นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยในพิธีเปิดการประชุมแนะนำโครงการและรับฟังความคิดเห็น โครงการศึกษาติดตามและประเมินผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจัดเมื่อ วันที่ 11 กรกฎาคม ที่โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชา ออคิด จ.ขอนแก่น ว่า ขณะนี้ สทนช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เร่งดำเนินโครงการดังกล่าว โดยมุ่งหวังให้ได้ข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางปรับปรุงการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานด้านน้ำของประเทศ ซึ่งมีอยู่กว่า 30 หน่วยงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์น้ำด้านต่างๆ ได้ตรงกับสภาพปัญหาและบริบทของพื้นที่นั้นๆ อย่างแท้จริง นายสำเริง กล่าวว่า ที่ผ่านมา จะเห็นว่า แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทุ่มเทกำลัง ความสามารถ รวมทั้งงบประมาณอย่างเต็มที่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ แต่ข้อเท็จจริงคือ ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน และเกษตรกรยังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภา
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.มีมติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2,225 ล้านบาท เป็นโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ 1,737 ล้านบาท และโครงการด้านการพัฒนาการเกษตร 488 ล้านบาท รวม 11 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบริหารจัดการน้ำ 3 โครงการ คือ ก่อสร้างแหล่งน้ำและระบบชลประทานขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาด เล็ก แหล่งน้ำชุมชน แหล่งน้ำที่ ส.ป.ก. แก้มลิง ค่าใช้จ่ายในการจัดหาที่ดิน ช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนทั่วไป โครงการพัฒนาเกษตร 8 โครงการ 1. สร้างเครือข่ายผลิตเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่วปลูกหลังนาพื้นที่แปลงใหญ่ 2. ตลาดเกษตรอินทรีย์ 3. สร้างปัจจัยพื้นฐานเก็บข้าวเปลือก 4. พัฒนาตลาดนาอ.ต.ก. 5.ศูนย์เรียนรู้ผลิตสินค้าเกษตร 6. ส่งเสริมใช้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพ 7.โรงแช่แข็งผลไม้และห้องเย็น 8.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไข่ไหม ขอบคุณข้อมูลจากข่าวสด