MOST POPULAR
ต้นขนุนเป็นพืชที่ออกผลบริเวณโคนต้นและโคนกิ่ง “การตอกลิ่มไม้ฝาง” เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้บังคับให้ต้นขนุนออกผลตามตำแหน่งที่ต้องการ เริ่มจากเลือกต้นขนุนอายุ 3-5 ปี ที่พร้อมให้ผลผลิต จากนั้นเหลาแก่นฝางให้มีขนาดและรูปร่างเช่นเดียวกับไม้จิ้มฟัน ตอกทำมุมฉากกับเปลือกต้นขนุน เมื่อถึงเนื้อไม้ตอกต่อไปไม่ได้แล้ว ให้หักก้านส่วนที่เหลือทิ้ง ทารอยแผลด้วยปูนแดง ป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปตามรอยแผล วิธีตอกลิ่มไม้ฝางสามารถบังคับให้ขนุนออกดอกติดผลบริเวณดังกล่าวได้ แต่ไม่สามารถบังคับให้ออกผลได้ในเวลาจำกัด ต้องคอยจนถึงฤดูที่ให้ผลคือ ครบรอบของการติดผลเท่านั้น บางครั้งต้องใช้เวลาหลายเดือนก็มี คุณลุงไสว ศรียา ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าว ได้บอกกับผู้คนที่สนใจว่า วิธีตอกลิ่มไม้ฝางบังคับให้ขนุนออกผลนั้นเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ก่อนหน้านี้ คุณลุงไสวเคยทดลองนำไม้ไผ่เสียบลูกชิ้น และไม้ชนิดอื่นๆ มาทดลองตอกต้นขนุน แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนกับการใช้แก่นฝาง สาเหตุที่แก่นไม้ฝางช่วยให้ขนุนติดลูกได้นั้น เกิดจากในไม้แก่นไม้ฝางมีสารชนิดห
ชะอม เป็นไม้ยืนต้นตระกูลถั่ว ที่มีอายุยืนนาน เป็นไม้เถาเลื้อย มีฝักเหมือนกระถิน เมล็ดนำมาปลูกได้ กิ่งอ่อน ยอดอ่อน ใบอ่อน มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัว และมีวิตามินเอสูง ยอดชะอมจัดเป็นอาหารประเภทผักที่มีคุณค่าอาหารสูงยิ่ง ทั้งวิตามินเอ โปรตีน และเยื่อใยที่ร่างกายต้องการ ตามลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมหรือไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบขนาดเล็ก มีก้านใบแยกเป็นใบอยู่ 2 ทาง ลักษณะคล้ายใบกระถิน หรือใบส้มป่อย ต้นชะอมหากถูกเด็ดยอดจะแตกกิ่งข้างต้นหนาแน่น คุณดอกไม้ อินอ้น หรือ ป้าดอกไม้ วัย 78 ปี ที่ถือเป็นเกษตรกรที่เริ่มปลูกชะอมไร้หนามรายแรกๆ ของ อ.ตะพานหิน และเป็นประธานกลุ่มผู้ปลูกชะอมไร้หนามบ้านคลองข่อย บ้านเลขที่ 31/6 หมู่ 6 บ้านคลองข่อย ซอย 13 ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร แหล่งปลูกชะอมพื้นที่ใหญ่แห่งหนึ่งของจังหวัดพิจิตร อยู่ที่อำเภอตะพานหิน ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปลูกชะอมพันธุ์ไร้หนาม ดังคำขวัญของ อ.ตะพานหิน “ถิ่นชะอมไร้หนาม งามหลวงพ่อโต งานประเพณีกำฟ้า ทอผ้าป่าแดง” “ชะอม” หลายคนจะต้องนึกถึงเมนูอาหารที่แสนอร่อยจากผักพื้นบ้านชนิดนี้ที่มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว อาทิ ชะอมชุบไข่ทอดกับน้ำพริกกะปิ แกงแคไก่อา
หากใครมีโอกาสเดินทางไปภาคใต้ อาจเคยรับประทานถั่วหรั่งต้มใส่เกลือ หนึ่งในอาหารว่างแสนอร่อย เมล็ดถั่วหรั่งใช้ต้มรับประทานเช่นเดียวกับถั่วลิสง เมล็ดอ่อนนิยมผัดแทนเมล็ดถั่วลันเตา ใช้ประกอบอาหารประเภทแกง หรือต้มซุปก็ดี จุดเด่นไม่พบเชื้ออัลฟาท็อกซิน แม้จะเก็บไว้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ เมล็ดถั่วหรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยมีคาร์โบไฮเดรต 55-72% น้ำมัน 6-7% โปรตีน 18-20% นอกจากนี้ ยังมีสารเบต้าแคโรทีน ไทอะมีน ไรโบเฟลวิน ไนอะซิน วิตามินซี และมีสารเมทไธโอนีน ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณสูงกว่าถั่วชนิดอื่น ถั่วหรั่งมีใบรูปร่างใบหอก ก้านใบสีเขียวอมม่วง ลำต้นสีม่วงแดง ดอกสีเหลือง ผิวฝักมีสีขาวอมน้ำตาล เยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง ดอกบานเมื่อมีอายุ 38 วัน มีเปอร์เซ็นต์กะเทาะเปลือกสูงถึง 73 เปอร์เซ็นต์ ฝักและเมล็ดเจริญเติบโตในดิน หลังจากผสมเกสรแล้วจะแทงเข็มส่งเมล็ดลงดิน พัฒนามาจนเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์ คล้ายกับถั่วลิสง โดย 1 ฝัก มีเพียงเมล็ดเดียว ถั่วหรั่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา ในต่างประเทศเรียกว่า ถั่วคองโก ถั่วมาดากัสการ์ และถั่วแบมบารา แต่ไม่มีบันทึกไว้ว่ามีการนำมาปลูกในประเทศไทยตั้งแต่เม
เมื่อสิบกว่าปีก่อน “พี่จอบ” วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ คอลัมนิสต์ชื่อดัง และ “พี่อ้อย” ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวาณิชย์ สองสามีภรรยาเริ่มรู้สึกว่าเมืองกรุงไม่น่าอยู่แล้ว พืชอาหารในท้องตลาดปัจจุบันมีสารอาหารน้อยกว่าเมื่อ 70 ปีก่อนหลายเท่า เกิดจากความเสื่อม ดินที่ปุ๋ยเคมีทำลาย ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร ทำให้คุณภาพสารอาหารลดลง “พี่จอบ” และ “พี่อ้อย” ตัดสินใจซื้อผืนนาแปลงหนึ่งที่ทุ่งน้ำนูนีนอย ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารปลอดภัยเลี้ยงตัวเอง และแบ่งปันให้คนรอบข้าง เมื่อตั้งใจทำเกษตรอินทรีย์ ภาระกิจแรกคือ การฟื้นฟูผืนดินให้ปลอดภัยจากสารเคมี ก่อนจะลงมือปลูกพืชผลทางการเกษตรแบบอินทรีย์อย่างจริงจังกับชาวบ้าน ทุ่งน้ำและไร่นาเกษตรอินทรีย์นูนีนอยเป็นศูนย์ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับธรรมชาติ มุ่งอนุรักษ์ธรรมชาติให้อยู่รอดต่อไปถึงลูกหลาน ทุ่งน้ำนูนีนอยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสร้างขึ้นใหม่ในปี 2561 ท่ามกลางนาระบบเหมืองฝายโบราณและปล่อยให้ธรรมชาติและสัตว์ป่าฟื้นตัวขึ้นมาเอง เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ผลิตอาหารแล้ว ทุ่งน้ำนูนีนอย ใช้วิธีบำบัดน้ำตามธรรมชาติ ด้วยการขุดบ่อน้ำหล