MOST POPULAR
“ มะม่วงขาวนิยม” หรือ “ น้ำดอกไม้มัน” เป็นผลไม้ทำเงินที่น่าสนใจ เกษตรกรจำนวนมากสนใจปลูกเป็นไม้ผลประจำสวน เพราะมะม่วงพันธุ์ปลูกดูแลง่าย มีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร คือ มีผลใหญ่ รูปทรงสวยงาม เนื้อแน่น เมล็ดบางลีบ ผลดิบจะมีรสชาติคล้ายเขียวเสวย หากรับประทานตอนสุก เนื้อมะม่วงจะมีรสชาติหวานนุ่ม ละมุนลิ้น คล้ายมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่มาของ “ มะม่วงขาวนิยม” “ มะม่วงขาวนิยม” เกิดจากการกลายพันธุ์จากการเพาะเมล็ดมะม่วงเขียวเสวย เมื่อ ปี พ.ศ. 2510 นายขาว น้อยรักษา ได้นำเมล็ดมะม่วงเขียวเสวยมาปลูกและบังเอิญมีต้นที่กลายพันธุ์ 1 ต้น ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ มีผลใหญ่ รูปทรงสวยงาม ผลดิบ มีรสชาติมัน หวานคล้ายมะม่วงเขียวเสวย ส่วนผลสุกรสชาติหวานหอม เนื้อแน่น เมล็ดแบนลีบคล้ายมะม่วงน้ำดอกไม้ นายขาวจึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้มัน” หลังจากได้มะม่วงพันธุ์นี้มาแล้ว นายขาวได้บำรุงดูแลรักษาเป็นอย่างดี จนมีความมั่นใจว่าสายพันธุ์นิ่งดีแล้วจึงทำการขยายพันธุ์ โดยปลูกในพื้นที่สวนของครอบครัวน้อยรักษาในพื้นที่ เขตบางบอน และเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เมื่อมีผลผลิตออกมานายขาวได้ส่งขายให้กับแม่ค้าปรากฏว่าได้ผลตอบรับเป็นอย่างดีมาก
ความต้องการบริโภค “มะละกอ” ของคนไทยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มมะละกอดิบ เพื่อนำมาใช้ทำส้มตำ อาหารยอดนิยมของคนไทยทุกภาค ส่วนมะละกอเพื่อการบริโภคสุก เป็นผลไม้ที่ทรงคุณค่าชนิดหนึ่ง และมีราคาไม่แพงนัก มะละกอ จัดเป็นไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของไทย แต่ก่อนการเริ่มต้นของการปลูกมะละกอนั้น ก็จะต้องเริ่มจากการเพาะกล้ามะละกอเสียก่อน คุณทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ เจ้าของ “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ได้นำประสบการณ์ ที่นักวิชาการแนะนำหรือจากที่นำไปปฏิบัติเองในการเพาะเมล็ดมะละกอมานำเสนอให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้เป็นแนวทางในเรื่องของการเพาะกล้า เนื่องจากมะละกอทุกสายพันธุ์ใช้วิธีการเพาะกล้าเหมือนกัน สำหรับเคล็ดลับการเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกดีและสม่ำเสมอ รศ.ดร. กวิศร์ วานิชกุล ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า “การเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกดีสม่ำเสมอนั้น ให้นำเมล็ดมะละกอแช่น้ำ 1-2 วัน โดยในช่วงวันแรกให้เปลี่ยนน้ำอย่างน้อย วันละ 1 ครั้ง หลังจากนั้นให้เปลี่ยนน้ำถี่ขึ้น เนื่องจากเมล็ดมะละกอมีการหายใจมากขึ้น ทำให้ออกซิเจนในน้ำเหลือน้อยลง หากแช่น้ำแล้วไม่เปลี่ยนน้ำเลย ก็จะเหลือออกซิเจนในน้ำน้อย เมล็ดมะละกอนั้นก็จะเกิ
ในยุคที่เกษตรอินทรีย์และการลดใช้สารเคมีได้รับความนิยมมากขึ้น เกษตรกรและนักวิจัยได้มองหาวิธีธรรมชาติในการป้องกันโรคพืช โดยเฉพาะโรคเชื้อราที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อผลผลิต หนึ่งในวิธีที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางคือ “น้ำหมักเปลือกมังคุด” ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยยับยั้งเชื้อรา เปลือกมังคุดกับสารออกฤทธิ์สำคัญ เปลือกมังคุดอุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ เช่น แซนโทน (Xanthones) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา ต้านแบคทีเรีย และต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เปลือกมังคุดมีศักยภาพในการใช้เป็นสารชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อราในพืชผลทางการเกษตรได้อย่างปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบ วิธีการทำ เริ่มต้นด้วยการละลาย พด.2 จำนวน 1 ซอง ในน้ำสะอาด จากนั้นเติมกากน้ำตาล 1 กิโลกรัมลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วใส่เปลือกมังคุด 4 กิโลกรัมตามลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นปิดฝาภาชนะแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1–2 สัปดาห์ การนำไปใช้งาน เมื่อหมักครบตามเวลา แม้ว่าเปลือกมังคุดจะยังไม่ย่อยสลายทั้งหมด แต่สามารถนำไปใช้งานได้ โดยให้ผสมน้ำหมักเปลือกมังคุด 100 ซีซี กับน้ำสะอาด 10 ลิตร แล้วฉีดพ่นในช่วงเย็น หากอยู่ในช่วงที่ฝนตกบ่อยหร
บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จครบรอบ10 ปี โครงการ “เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ” ในพื้นที่คลองขนมจีน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งแบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ได้มุ่งมั่นในการดำเนินโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวทางการฟื้นฟูแหล่งน้ำที่ยั่งยืนอย่างครบวงจร 3 ด้าน ได้แก่ เรียนรู้ ปกป้อง ฟื้นฟู จนทำให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจด้วยการคืนปริมาณและคุณภาพน้ำกลับสู่ชุมชนตามเป้าหมาย พร้อมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนคลองขนมจีน ล่าสุด สามารถยกระดับโครงการเป็นพื้นที่นำร่องระดับประเทศ สำหรับการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective area-based Conservation Measures: OECMs) สำหรับพื้นที่บนบกและแหล่งน้ำบนบกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นายไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา “โครงการเนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ” จากแบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเนสท์เล่ในการสร้างคุณค่าและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมไทย โดยเนสท์เล่มีเป้าหมาย