Exclusive

รู้จัก ‘ชา’ ให้มากขึ้น ทำความรู้จักประเภทของชา เครื่องดื่มยอดนิยมอันดับสองของโลก

หากพูดถึงเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมของผู้คนทั่วโลกมานานหลายศตวรรษ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น ‘ชา’ ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับสองของโลก

ต้นกำเนิดของการดื่มชานั้นย้อนกลับไปไกลกว่า 2,000 ปีในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดแห่งวัฒนธรรมชา จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ชาค่อยๆ แผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญและมีบทบาททั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

การปลูกชาจะสามารถเพาะปลูกได้ดีในเขตอบอุ่นและมีฝน ซึ่งบริเวณพื้นที่ที่ให้ผลผลิตชาส่วนใหญ่อยู่ในแถบเอเชียได้แก่ จีน อินเดีย และศรีลังกา และสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 – 2,000 เมตร ซึ่งเหมาะสมต่อการปลูกชามากที่สุด ทำให้ได้ชาที่มีกลิ่นหอม รสละมุน และคุณภาพดีเป็นพิเศษ

ในโลกของเครื่องดื่มที่มีเสน่ห์ซ่อนอยู่ในทุกหยด “ชา” เป็นหนึ่งในรสนิยมที่ไม่ได้เพียงแค่ดื่ม แต่คือการ “สัมผัส” ทั้งกลิ่น รส และวัฒนธรรม และหนึ่งในคนไทยที่เข้าใจศิลปะของการดื่มชาอย่างลึกซึ้ง ก็คือ คุณเอ๊ง – สาโรจน์ สุวัณณาคาร อดีตผู้กำกับโฆษณาที่วันนี้หลายคนรู้จักในชื่อ “ลุงชงชา” จาก TikTok คุณเอ๊ง บอกว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะพาผมมานั่งชงชาแบบนี้ และยิ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะกลายมาเป็น TikToker ทำคลิปชาให้คนติดตาม”

ทีมงานเทคโนโลยีชาวบ้าน มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณเอ๊ง ผู้ซึ่งเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากเบื้องหลังผู้กำกับโฆษณามาสู่ลุงชงชา ด้วยความหลงใหลส่วนตัว เขาดื่มชามาแล้วมากกว่า 300 ชนิด จากทั่วโลก ทั้งญี่ปุ่น จีน ไปจนถึงแหล่งชาชั้นดีในยุโรป

ถ้วยชาบนหน้าจอเล็ก ๆ ที่กลายเป็นพื้นที่ “พักใจ” ของผู้ค

ถ้าใครเลื่อนผ่าน Tiktok อาจจะเจอ ‘ลุงชงชา’ หรือ คุณเอ๊ง ที่แต่ละวันจะทำคลิปเกี่ยวกับเรื่องของชา ให้หลายๆ คนได้รู้ในมุมมองต่างๆ ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนเข้ามาดูเป็นร้อย เป็นพันคน “ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องชา…แค่เป็นคนที่สนใจ และตั้งใจเรียนรู้ ผมไม่สนหรอกครับ ถ้าใครจะปัดผ่านคลิปของผมไป เพราะสำหรับผมการดื่มชาคือการพักผ่อน” คุณเอ๊ง กล่าว


ประโยคเรียบง่ายแต่กินใจจากชายหนุ่มผู้หลงใหลในชาถ้วยหนึ่ง สะท้อนมุมมองชีวิตที่ไม่เร่งรีบ และไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร เขาเลือกจะใช้พื้นที่ออนไลน์ในแบบของตัวเอง ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องเสียงดัง แค่ค่อยๆ พาคนดูจิบชาและพักใจไปพร้อมกัน

หลายคนบอกว่าคลิปของเขาช่วยให้หลับสบายในคืนเหนื่อยล้า แค่เสียงชงชาเบาๆ และจังหวะพูดเนิบช้า กลับกลายเป็นยาสำหรับความวุ่นวายใจ และนั่นคือสิ่งที่เขาดีใจที่สุด ที่ความเรียบง่ายเล็กๆ แบบนี้มีความหมายกับใครหลายคน

ไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนใครของเขา กลับกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่พาผู้ชมมากมายเข้ามาหลบความวุ่นวาย พักสายตา และเติมพลังใจ ผ่านถ้วยชาบนหน้าจอเล็กๆ

คุณเอ๊ง เล่าว่า “มีชาหลายตัวที่นำมาจากเชียงราย ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะรู้ไหมว่า…ฝรั่งเศสนำชาจากไทยไปใช้ทำเครื่องดื่มชาเช่นเดียวกัน แม้ชาของไทยจะมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด อย่างบางสายพันธุ์ที่ปลูกไม่ได้เพราะระดับความสูงของพื้นที่ไม่เอื้อ แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ คือความตั้งใจของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ปลูกชาแบบออร์แกนิก คุณเอ๊งย้ำเลยว่า ‘คุณภาพบางอย่างของชาไทย ดีกว่าจีนเสียอีก’

“ถ้าผมจะทำชาให้จริงจัง ผมคงต้อง ‘บ้ากว่านี้’ หน่อย” คุณเอ๊งเล่าพลางหัวเราะ ก่อนจะเสริมว่า “ผมตั้งใจจะเอาชาทั้งโลกมาไว้ที่นี่ให้ได้”

จุดเริ่มต้นของความตั้งใจนั้น เริ่มจากชาฝรั่งเศสที่เขาหลงใหลเป็นพิเศษ แล้วก็ค่อยๆ สะสมเพิ่มทีละนิด จากหลายประเทศทั่วโลก จนกระทั่งวันหนึ่ง พื้นที่เก็บชาเริ่มล้น “พื้นที่ไม่พอครับ ก็เลยเอาโรงจอดรถมาดัดแปลงใหม่ ผมชอบงานไม้ด้วย ก็เลยทำเป็น ‘โรงชา’ เลย” จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ความหลงใหลในชา กลายเป็นสถานที่ที่ใครหลายคนอยากแวะมาสัมผัส

“คนเริ่มมาดื่มชากันเยอะขึ้น บางคนพูดว่า ‘อยากมากินจากลุงชงชา’ เท่านั้นเลยครับ ไม่ได้อยากกินชาหรูที่ไหน แต่แค่อยากเจอผม” เขาเล่าถึงแฟนคลับจากภาคใต้ ทั้งตรังและสงขลา ที่เดินทางเช้าเย็นกลับมาเพียงเพื่อดื่มชาแก้วเดียว “มันสนุกครับ สนุกในแบบที่ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีใครเคยสอนเราในวิชาการโฆษณาที่เคยเรียน แต่มันเกิดขึ้นจริงในโลกใหม่ใบนี้…โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ”

“ทุกครั้งที่เห็นพนักงานต้องมาทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองควรนั่งอยู่เฉยๆ แล้วคอยสั่งอย่างเดียว เพราะนั่นไม่ใช่นิสัยของผมเลย ผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนวันแรกที่เริ่มต้นว่า ‘เรามีอะไรดี?’ คำตอบที่ผุดขึ้นมาในใจคือ ‘ผมชงชาอร่อย’ เพราะผมดื่มชามาตั้งแต่เด็ก และหลงใหลในรสชาติของมันแบบจริงจัง” คุณเอ๊ง กล่าว

คุณเอ๊ง เล่าย้อนถึงช่วงเวลาสำคัญว่า “หลังจากที่ผมตัดสินใจเปิดบ้านหลังนี้เรือนไทยที่ปิดไว้มากว่า 20 ปี ให้ผู้คนได้เข้ามาเยี่ยมชมจริงๆ หลายคนที่แวะมามักจะตกใจและเอ่ยปากถามว่า ‘ห้วยขวางมีแบบนี้ด้วยเหรอ?’ จนกลายเป็นเหมือนที่พักใจของใครหลายๆ คนเวลามาที่ตามใจคาเฟ่ของเรา”

สโลแกน ‘ดื่มชาอร่อยสไตล์ลุง’

ก็แบบที่ดื่มแล้วรู้ว่าอร่อย ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ส่วนใหญ่ผมจะเลือกชาแนวกลิ่นหอม ดื่มง่าย ใครที่แวะมาที่ร้านแล้วไม่รู้จะเริ่มจากชาแบบไหน สามารถเดินมาถามได้เลย ผมก็จะมีแนะนำให้ เพียงแค่บอกว่าอยากได้สไตล์ไหน เพราะแต่ละคนความชอบก็ไม่ได้เหมือนกัน”

คุณเอ๊ง เล่าให้ฟังอีกว่า “อีกอย่างหนึ่งที่กลายเป็นจุดขายเล็ก ๆ ของผมก็คือการทายนิสัยจากชา ชาแต่ละแบบมันมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ซึ่งมันก็คล้ายๆ กับคน ผมเคยเป็นผู้กำกับมาก่อน เจอคนหลากหลายบุคลิก เลยเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาช่วยเดาเล่นๆ ให้สนุก มันก็กลายเป็นสีสันของการดื่มชาด้วยเหมือนกัน”

📍หากใครอยากมาลองชิมชา หรือมาพูดคุยกับ ‘ลุงชงชา’ สามารถไปพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ที่ “ตามใจ คาเฟ่”

เมื่อฟังเรื่องราวของ ‘ลุงชงชา’ กันแล้ว จะพาทุกคนไปรู้จัก ‘ชาของไทย’ จากพันธุ์ชา…สู่หลากรสในแก้วโปรด

ประเทศไทยอาจไม่ใช่ประเทศแรกที่นึกถึงเมื่อพูดถึงชา แต่รู้หรือไม่ว่า “ชาของไทย” มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากการผสมผสานทั้งสายพันธุ์ พื้นที่ปลูก และกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน

โดยชามีต้นกำเนิดจากพืชในสกุล Camellia sinensis ซึ่งเป็นไม้พุ่มใบเขียว มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและอินเดีย โดยส่วนที่นิยมนำมาใช้ชงเป็นเครื่องดื่มคือยอดอ่อนของต้นชา ซึ่งอยู่บริเวณส่วนบนสุดของต้น เพราะเป็นส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด

ชาที่ปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจาก 2 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ พันธุ์อัสสัม (Assam Tea) และ พันธุ์ชาจีน (Chinese Tea) ซึ่งต่างก็มีลักษณะโดดเด่นและเหมาะสมกับการผลิตชาประเภทต่างๆ ที่เราคุ้นเคย

  • พันธุ์อัสสัม (Assam Tea)

กลุ่มนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis var. assamica ลักษณะเป็นลำต้นเดี่ยว ต้นใหญ่ สูงประมาณ 6-18 เมตร ใบเดี่ยว ขนาดใหญ่ ใบสีเขียวอ่อน แผ่นใบโปนเป็นคลื่น ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ปลายใบแหลม ใบแผ่ การเรียงตัวของใบเป็นแบบสลับและเกลียว ต้นเจริญเติบโตเร็ว ทนแล้ง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี

  • พันธุ์ชาจีน (Chinese Tea)

ลักษณะลำต้นเป็นพุ่มเตี้ย สูงประมาณ 2-6 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม ขนาดเล็ก ยาวแคบ ตั้งตรง ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ผิวใบเรียบ ใบค่อนข้างตั้งกว่าชาอัสสัม การเรียงตัวของใบเป็นแบบสลับและเกลียว ต้นเจริญเติบโตช้ากว่าชาอัสสัม ทนทานต่ออุณหภูมิต่ำและสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนได้ดี

ชาเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่ได้จากใบ ยอดอ่อน และก้านของต้นชา ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปที่แตกต่างกัน จึงมีชื่อเรียกและลักษณะที่หลากหลาย โดยการจัดประเภทของชามักอ้างอิงตามขั้นตอนการแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว โดยใบของต้นชาจะถูกทิ้งให้สลดและบ่ม ทำให้เอนไซม์ในใบชาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับออกซิเจนในอากาศ ใบชาจะมีสีเข้มขึ้น คลอโรฟิลล์ในใบชาจะแตกตัว กลายเป็นสารแทนนินที่ให้รสฝาด ต่อจากนั้นต้องหยุดการทำงานของเอนไซม์ โดยใช้ความร้อนเพื่อให้หยุดปฏิกิริยาออกซิเดชัน

ทั้งนี้หากไม่ระมัดระวังในการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิระหว่างกระบวนการผลิต ใบชาอาจขึ้นรา เกิดปฏิกิริยาสร้างสารพิษที่อาจเป็นสารก่อมะเร็งขึ้นได้ รวมทั้งทำให้รสชาติเสียไป และอาจเป็นอันตรายต่อการบริโภค

ชาแบ่งตามกระบวนการแปรรูปได้เป็น 6 ประเภท โดยที่ชาทุกชนิดสามารถผลิตจากต้นชาชนิดเดียวกัน แต่ใช้กรรมวิธีที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ชาขาว 

ผลิตจากยอดตูมและยอดอ่อนของต้นชา กรรมวิธีผลิตชาขาวเริ่มจากการเลือกเก็บยอดอ่อนของชาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนำยอดชาที่เก็บมาผ่านกระบวนการทำแห้งในระยะเวลาที่รวดเร็ว ด้วยวิธีธรรมชาติโดยอาศัย ลม แสงแดด หรือความร้อน แต่ไม่ได้บ่ม เมื่อชงชาแล้วจะได้เครื่องดื่มที่มีสีเหลืองอ่อน

2. ชาเหลือง 

มีเฉพาะเมืองจีน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมโดยทั่วไป โดยเก็บใบชาแล้วนำมาม้วนเพื่อเก็บน้ำมันใบชาไว้ จะทำให้มีรสชาติเพิ่มขึ้นและสีเปลี่ยน พอม้วนเสร็จแล้วนำไปทำให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วจะได้ชาเหลือง สีใกล้เคียงกับชาเขียว แต่จะออกสีเหลืองกว่าเล็กน้อย เวลาม้วนใบชาน้ำมันจะยังอยู่ในใบชา ซึ่งเป็นการเก็บน้ำมันไว้เพื่อให้ออกมาทำปฏิกิริยากับอากาศในภายหลัง โดยชาเหลืองเหมาะสำหรับการดื่มคู่อาหารจีนทุกชนิด สารที่อยู่ในชาเหลืองจะช่วยกำจัดไขมันที่ค่อนข้างมีมากในอาหารจีน และช่วยส่งเสริมรสชาติอาหารจีนให้ดียิ่งขึ้น

3. ชาเขียว

ผลิตจากใบชาที่ไม่ได้ถูกทิ้งให้สลด ไม่ได้บ่ม และไม่ผ่านการหมัก เมื่อชงแล้วจะได้น้ำชาเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีคุณสมบัติในการต้านทานโรคได้นานาชนิดจึงเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ บางครั้งมีรสอุมามิจนถึงรสหวานที่รับรู้ได้เฉพาะบางคนเท่านั้น น้ำมันในตัวชาเขียวที่ผ่านการกลั่นมีผลดีต่อร่างกาย ซึ่งในประเทศไทยจะมีการแต่งกลิ่นเพื่อให้เกิดความน่ารับประทานมากขึ้น

4. ชาแดง 

เป็นใบของชาเขียวที่ผ่านกระบวนการออกซิเดชันหรือการหมักบ่มมาแล้ว โดยที่ใบชาและน้ำชาที่ได้มานั้นเป็นสีแดง สีแดงเข้ม เมื่อชงจะได้เครื่องดื่มสีน้ำตาลแดง

5. ชาอู่หลง

เป็นใบชาที่ทิ้งให้สลด นวด และบ่มเล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นชาประเภทกึ่งหมักหรือชาที่ผ่านการหมักเพียงบางส่วน ทำให้มีสี กลิ่นหอม และรสชาติ อยู่ระหว่างชาเขียวและชาดำ

6. ชาดำ

เป็นใบชาที่ทิ้งให้สลด (อาจมีการนวดอย่างแรง) และเป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างสมบูรณ์ (Completely-fermented tea) เป็นชาที่นิยมมากที่สุดในยุโรป เพราะชาดำเหมาะสำหรับรสชาติทั่วไป และแทนที่ชาเขียวเกือบสมบูรณ์ การผลิตชาดำผ่านขั้นตอนการแปรรูปมากที่สุด ผลิตผลที่ได้ คือ ใบชา สีน้ำตาลดำ

ชาประเภทต่างๆ จะมีสี กลิ่น และรสชาติที่หลากหลาย แตกต่างกันออกไป ซึ่งเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ องค์ประกอบทางเคมีของใบชา และกระบวนการผลิตชา โดยองค์ประกอบทางเคมีของใบชานั้นได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น สายพันธุ์ชา สภาพแวดล้อมในการปลูก ภูมิอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำ และการดูแลรักษา ความแตกต่างทางเคมีนี้ส่งผลต่อปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต ทำให้ได้ชาที่มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว

ชาจีนที่มูลนิธิโครงการหลวงแนะนำส่งเสริมให้เกษตร ในพื้นที่เป้าหมายปลูกมีจำนวน 2 พันธุ์ คือ

  1. พันธุ์หย่วนจืออู่หลง มีลักษณะใบเล็ก มีสีเขียวเข้มและขอบใบเป็นหยักๆ ละเอียดคลายฟันเลื่อย เป็นพันธุ์ที่มีกลิ่นหอมและรสชาติดี

2. พันธุ์เบอร์ 12 มีลักษณะลำต้นสูงและกิ่งก้านยาวกว่ามีขนาดของใบกว้างกว่าและมีขอบใบเป็นหยักๆแต่หยาบกว่าพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง และมีความต้องการน้ำน้อยกว่าพันธุ์หย่วนจืออู่หลง

คุณประโยชน์ของชา

ชาเป็นพืชที่นำมาเป็นเครื่องดื่ม เป็นที่นิยมของคนทั่วโลกมีธาตุอาหารหลายชนิดเป็นองค์ประกอบที่ช่วยบำรุงให้ร่างกายมีสุขภาพดี ซึ่งประโยชน์ของชา พอสรุปได้ดังนี้

1.ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทและร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีสารคาเฟอีนเป็นประกอบ ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและระบบหมุนเวียนของโลหิต ช่วยขยายหลอดเหลือดและป้องกันโรคหัวใจตีบตัน

2.ช่วยแก้กระหายและช่วยในการย่อยอาหาร เนื่องจากมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) คาร์โบไฮเดรท และกรดอะมิโน เป็นองค์ประกอบ จะช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกาย และชะล้างสารพิษต่างๆ ออกทางขับถ่าย นอกจากนั้นชายังมีสารไอโอดีน และฟลูออไรด์ช่วยป้องกันภาวะไทรอยด์ผิดปกติ (hyperthyroidism)ในร่างกายได้ด้วย

3.ช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ และช่วยสมานแผล เนื่องจากมีสารโพลีฟีนอล เป็นองค์ประกอบ คนจีนนิยมใช้ชาในการรักษาโรคบิดได้เป็นอย่างดี

4.ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง โดยเฉพาะชาเขียว จะมีวิตามินซี วิตามินบีคอมเพล็ด และกรดเพนโทเทนิค ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเม็ดเลือด ชาอู่หลงของจีน สามารถช่วยลดความอ้วนและอาการท้องผูก โดยช่วยละลายไขมัน และช่วยในการย่อยอาหารและลดประจุ (discharge) ในปัสสาวะได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันชาและกาแฟมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง , องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน

Related Posts