เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
Featured Inspiration

ลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก ธุรกิจใหม่ของ บุ๊กโกะ ดีเจอารมณ์ดี เปิดตัว 3 เดือน ขายเกือบหมื่นกิโล

ลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก ธุรกิจใหม่ของ บุ๊กโกะ ดีเจอารมณ์ดี เปิดตัว 3 เดือน ขายเกือบหมื่นกิโล

ทำเอาสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วโลก กระทบไปทุกภาคอุตสาหกรรม กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งวงการบันเทิงเอง ก็โดนเอฟเฟกต์นี้ไปด้วย ทำให้เหล่าคนบันเทิงหลายๆ คน ผุดอาชีพเสริมที่ 2 ที่ 3 กันเป็นแถบๆ และ บุ๊กโกะ-ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ซึ่งธุรกิจ ลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่คุณบุ๊กโกะ ได้ร่วมลงทุนทำกับน้องสาวคนสวยอย่าง คุณเบลเยี่ยม-ภาวินี บูรณาชีวาวิไล ซึ่งก่อนที่จะมีธุรกิจลูกชิ้นปลา คุณบุ๊กโกะเอง ก็มีธุรกิจอาหารเสริมควบคุมน้ำหนักและธุรกิจทัวร์ศัลยกรรมที่ทำมาอยู่ก่อนแล้ว

“พอเกิดโควิด ธุรกิจอย่างเอเยนซี่ศัลยกรรมความงาม ในการพาคนไทยไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี ที่เบลเยี่ยมทำกับพี่บุ๊กโกะ มันสะดุดเพราะเดินทางไม่ได้ และไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเดินทางได้ปกติ แล้วถ้ากลับมาเดินทางได้ปกติ กำลังซื้อจะกลับมาเหมือนเดิมไหม เพราะพิษเศรษฐกิจหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด ไม่รู้จะฟื้นเมื่อไหร่ ก็เลยมาคิดกันว่าจะทำอะไรกัน ก็มาลงตัวที่ลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก” คุณเบลเยี่ยม เล่า

ลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก เป็นลูกชิ้นปลาสอดไส้ ไส้ข้างในทำมาจากปลาสับน้ำมันงา ที่สองพี่น้องได้พยายามคิดออกแบบผลิตภัณฑ์ จนลงตัวที่สูตรลูกชิ้นปลาสอดไส้ปลาสับน้ำมันงาในที่สุด โดยคุณบุ๊กโกะ เผยว่า เป็นลูกชิ้นปลาตัวมันดูน้ำแตกนี้ ได้ไอเดียมาจากมันดู หรือเกี๊ยวแบบเกาหลี ที่สองพี่น้องชอบทานเมื่อไปเยือนแดนกิมจิ

“มันดูก็คือเมนูเกี๊ยวในแบบฉบับของเกาหลี เป็นเกี๊ยวที่สอดไส้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว หรืออาจจะผสมผักต่างๆ และพริกไทย เพื่อให้มีกลิ่นหอม เวลาทานส่วนใหญ่จะต้องนำไปนึ่ง ใครชอบกินเกี๊ยวบอกเลยว่าไปเกาหลีแล้วต้องห้ามพลาด เพราะเป็นเมนูที่ขายดีเมนูหนึ่งของที่นั่นเลย มีให้สั่งตามร้านอาหารเกาหลีทั่วๆ ไป เวลากัดเข้าไปที่ตัวเกี๊ยว น้ำไส้ข้างในมันก็จะแตก พอบุ๊กโกะคิดทำลูกชิ้น ก็เลยนำไอเดียมันดูมาใช้ เวลากินก็นำไปนึ่งเหมือนมันดู พอกัดเข้าไปน้ำจะแตก ทั้งหมดเลยเป็นที่มาของชื่อลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก บาย บุ๊กโกะ” คุณบุ๊กโกะ เล่า

“ส่วนที่มาของลูกชิ้น เริ่มมาจากเพื่อนได้แนะนำให้รู้จักกับโรงงานผลิตลูกชิ้น และเราได้เข้าไปดูโรงงานเห็นว่า โรงงานเขาได้มาตรฐาน เลยตัดสินใจว่าจ้างโรงงานแห่งนั้นช่วยผลิตให้ ก่อนจะได้ลงมือทำการผลิตทางโรงงานเขาได้ส่งลูกชิ้นมาให้เราชิมหลายสูตร ซึ่งตอนนั้นเลือกอยู่หลายสูตรมาก และใช้เวลาร่วมกับทางโรงงาน เพื่อปรับสูตรให้ได้อย่างที่เราต้องการ ใช้เวลานานกว่า 3-4 เดือน จนมาลงตัวกับสูตรลูกชิ้นที่นำออกมาจำหน่าย และทางโรงงานยังผลิตในมาตรฐานของอาหารฮาลาล ลูกค้ากลุ่มฮาลาลก็สามารถซื้อรับประทานได้ และทางโรงงานยังได้มาตรฐาน อย. เป็นโรงงานที่ได้มาตรฐานการผลิตทุกอย่าง ทำให้เรามั่นใจระดับหนึ่ง ส่วนรสชาติเป็นการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งลูกค้าชื่นชอบคงต้องดูจากยอดขาย” คุณเบลเยี่ยม กล่าวเสริม

นอกจากนั้น คุณเบลเยี่ยม เสริมต่อว่า เธอและคุณบุ๊กโกะ ได้เริ่มทำลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก ผ่านมาได้เกือบ 4 เดือน ผลตอบรับออกมาดีมาก มียอดขายไปแล้วกว่า 8,000 กิโลกรัม โดยใช้ช่องทางขายผ่านหน้าเพจ ลูกชิ้นบุ๊กโกะ ไอจี และอินสตาแกรม เป็นการขายด้วยตัวเอง ไม่ได้มีการตั้งตัวแทนจำหน่าย เพราะในช่วงแรกเคยมีตัวแทนจำหน่าย แต่การมีตัวแทนจำหน่ายอาหารไม่เหมือนกับตัวแทนขายเครื่องสำอาง หรือสินค้าอื่นๆ เนื่องจากรายละเอียดอาหารต้องการความสดและใหม่ ดังนั้น เพื่อควบคุมรสชาติ จึงเห็นว่า คงจะต้องขายเอง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมา เพราะการเป็นศิลปินดารา ทำให้มีคนรู้จักทั้งประเทศ ถ้าขายอาหารไม่มีคุณภาพ มันไม่คุ้มเลยกับการที่เราจะเอาชื่อเสียงมาแลก

“ในส่วนของการทำลูกชิ้นบุ๊กโกะ จากเดิมเราคิดว่าจะทำเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกน้อง ไม่ได้คาดหวังรายได้มากนัก แต่พอเราเปิดตัว เดือนแรกก็ตกใจ เพราะสามารถขายได้เป็นพันกิโลกรัม พี่บุ๊กโกะเลยคิดว่า คงจะต้องทำอย่างจริงจัง และมีแผนที่จะมีผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ออกมาภายใต้แบรนด์ของลูกชิ้นบุ๊กโกะอีกหลายตัว เพราะโดยส่วนตัวครอบครัวของเราก็ชื่นชอบที่จะหาของกินกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะพี่บุ๊กโกะ ชอบหาอาหารอร่อยมากินอยู่เรื่อย จึงมั่นใจว่า ถ้าอันไหนที่พี่บุ๊กโกะว่าอร่อย ก็เชื่อว่าต้องอร่อยจริงและขายได้ ส่วนการจะมีโรงงานเองเราคงไม่คิด เพราะประเทศไทยมีโรงงานผลิตอาหารแบบนี้เยอะมากอยู่แล้ว และแต่ละโรงงานเขาก็โดดเด่นต่างกัน เราก็ไปเลือกเอาที่เขาเด่นมาขายดีกว่า” คุณเบลเยี่ยม ว่าอย่างนั้น

นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว กลุ่มธุรกิจเวลเนส (Wellness) ก็เป็นอีกธุรกิจที่คุณบุ๊กโกะวางแผนว่าจะทำ เพราะเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้

“ในช่วงที่เราไม่มีรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายของบริษัทต้องจ่ายตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นค่าพนักงาน ค่าอื่นๆ เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เราเลยคิดหาทางออกกันไว้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการทำลูกชิ้นขายในครั้งนี้ หรือการหันมาเป็นเอเยนซี่ให้กับคลินิกศัลยกรรมความงามในประเทศ และการเป็นเอเยนซี่ให้กับกลุ่มธุรกิจเวลเนส ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์อยู่ในขณะนี้ ซึ่งธุรกิจเวลเนส คือธุรกิจที่ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่มาซัพพอร์ตการใช้ชีวิตให้สุขสบายขึ้น เช่น การแพทย์ การเดินทาง สปา ความงาม ฟิตเนส อาหารเสริม เทคโนโลยี การเงิน และงานสถาปัตย์ ซึ่งเราเห็นว่าคนเจนใหม่เขาจะทุ่มเงินทองให้กับการเอาใจใส่ตัวเอง ทำให้เกิดเงินทุนไหลเวียนในธุรกิจเวลเนสมหาศาล มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเลือกที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจเวลเนสกัน” สองพี่น้องคนสวย ว่าอย่างนั้น

ซึ่งที่ผ่านมา คุณเบลเยี่ยมได้มีการดีลกับเจ้าของธุรกิจเวลเนสไว้หลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยตั้งใจว่าจะพยายามทำให้ได้ทุกภาค เพราะปัจจุบัน เวลเนส ไม่ได้มีเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ในจังหวัดเล็ก บางจังหวัดก็เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว เมื่อถึงเวลาที่สามารถเดินทางออกต่างประเทศได้ปกติ ตั้งใจว่าจะนำธุรกิจเวลเนสจากประเทศไทย ไปนำเสนอขายลูกค้าในต่างประเทศ อย่าง ประเทศจีน และเกาหลี เป็นต้น

หากใครสนใจอยากลองชิมลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่เฟซบุ๊ก ลูกชิ้นบุ๊กโกะ Lookchinbookko

เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2563

Related Posts

เปิดจักรวาล Karun! ปั้นแบรนด์น้องใหม่ เจริญสังขยา, Summer Bowl และ Avery Wong ปี 66 รายได้รวม 100 ล้านบาท  
เปิดเทรนด์ผู้บริโภคยุคนี้ ไม่เน้นถูกสุด แต่ต้อง ‘คุ้มสุด’