เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
Featured How to เคล็ดลับผู้ประกอบการ

เจาะลึกต้นทุนร้านอาหารไทย ปี 68 หัวใจอยู่ที่ “รสชาติ-คุณภาพ-การบริหารจัดการต้นทุน” ตั้งราคาขายอย่างไร? ให้กำไรยั่งยืน

จากเรื่องราวที่ผู้เขียนได้ไปพูดคุยกับเจ้าของร้านเครื่องเขียนแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากเดิมใช้ดินสอปากกากันมาก แต่ปัจจุบันหันไปใช้ไอแพด เทคโนโลยีกันเกือบหมด จนทำให้ต้องวางมือและปิดตัวลง 

จากเรื่องราวที่สะท้อนใจนี้ ทำให้มองเห็นถึงประเด็นต่างๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจอะไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ และควรที่จะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้

สิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปนี้ คือการทำความเข้าใจในเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจที่ไม่ว่าใครก็มักจะผันตัวเองมาทำกันมากที่สุด คือ การขายอาหาร เพราะมองว่าง่ายและน่าจะทำได้

แต่การเปิดร้านอาหารไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กๆ เสิร์ฟอาหารจานเดียว สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องให้ความใส่ใจอย่างมาก คือการสร้างรสชาติที่อร่อยถูกปาก เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ร้านสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและสร้างผลกำไรได้ 

การทำความเข้าใจเรื่องต้นทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนวัตถุดิบ (Food Costs) ค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Costs) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารร้านอาหารให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่สถานการณ์เศรษฐกิจอาจมีการเปลี่ยนแปลง การวางแผนและวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อย่างรอบคอบ จะช่วยให้ร้านอาหารสามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมและแข่งขันได้

เจาะลึกต้นทุนและค่าใช้จ่ายสำหรับร้านอาหารไทยจานเดียว ปี 2568

สำหรับร้านอาหารไทย โดยเฉพาะร้านที่เน้นอาหารจานเดียว การวิเคราะห์ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในปี 2568 จะช่วยให้เห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ และนำไปสู่การตัดสินใจในการตั้งราคาขายได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายส่วน ดังนี้ 

1. Fixed Costs (ค่าใช้จ่ายคงที่) ภาระพื้นฐานที่ไม่ว่าขายได้หรือไม่ได้ก็ต้องจ่าย

ค่าใช้จ่ายคงที่คือค่าใช้จ่ายที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนอาหารที่ขายได้ในแต่ละเดือน เปรียบเสมือน “ค่าเช่าบ้าน” ของธุรกิจ ที่ต้องจ่ายเป็นประจำ ไม่ว่าจะมีลูกค้ามากหรือน้อย สำหรับร้านอาหารไทยขนาดเล็กถึงกลางในปี 2568 ในประเทศไทย เราสามารถประเมินค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ดังนี้

  • ค่าเช่าหรือค่างวดผ่อนสถานที่ ทำเลที่ตั้งมีผลต่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้อย่างมาก
    • ในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่อาจอยู่ที่ 20,000–100,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมือง หรือชานเมือง
    • ร้านขนาดเล็กในต่างจังหวัดอาจมีค่าเช่าที่ถูกลง ประมาณ 10,000–30,000 บาทต่อเดือน
    • ตัวอย่าง ร้านอาหารจานเดียวในย่านชุมชนกรุงเทพฯ อาจมีค่าเช่าประมาณ 40,000 บาทต่อเดือน
  • เงินเดือนพนักงานประจำ พนักงานที่ได้รับเงินเดือนคงที่ทุกเดือน เช่น ผู้จัดการร้าน หรือพ่อครัวหลัก
    • ผู้จัดการร้าน ประมาณ 25,000–50,000 บาทต่อเดือน
    • พ่อครัวหลัก (มีประสบการณ์) ประมาณ 20,000–40,000 บาทต่อเดือนต่อคน
    • ร้านขนาดเล็กอาจมีพนักงานประจำ 2-3 คน รวมเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000–100,000 บาทต่อเดือน
  • ค่าใบอนุญาตและค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดร้านอาหาร
    • โดยรวมอาจอยู่ที่ประมาณ 5,000–20,000 บาทต่อปี หรือเฉลี่ย 400–1,700 บาทต่อเดือน หากมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • ค่าซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี ค่าบริการรายเดือนสำหรับระบบจัดการร้าน
    • ระบบ POS (Point of Sale) หรือซอฟต์แวร์จัดการร้าน ประมาณ 2,000–10,000 บาทต่อเดือน
    • ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มดีลิเวอรี หากใช้บริการ จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย (20-30%) ซึ่งส่วนนี้อาจถือเป็นทั้ง Fixed และ Variable Costs ขึ้นอยู่กับมุมมอง
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (บางส่วน) เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เน็ต ในส่วนที่ไม่ผันแปรตามปริมาณการใช้งาน อาจอยู่ที่ประมาณ 10,000–30,000 บาทต่อเดือน

โดยสรุป Fixed Costs โดยประมาณ

  • ร้านขนาดเล็กในต่างจังหวัด : 50,000–100,000 บาทต่อเดือน
  • ร้านขนาดเล็กถึงกลางในเมือง : 100,000–200,000 บาทต่อเดือน
  • ร้านในย่านธุรกิจหรือห้างสรรพสินค้า : 200,000–500,000 บาทต่อเดือน

2. Operating Expenses (ค่าใช้จ่ายดำเนินการ) และ Food Costs (ต้นทุนอาหาร) : ค่าใช้จ่ายที่ทำให้ร้านเดินหน้าและสร้างเมนูอร่อย

Operating Expenses คือค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน เพื่อให้ร้านสามารถเปิดทำการและสร้างรายได้ ซึ่งรวมถึงทั้งค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Costs ที่กล่าวไปแล้ว) และ ค่าใช้จ่ายผันแปร (Variable Costs) ที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการขาย เช่น ต้นทุนอาหาร ค่าแรงพนักงานชั่วคราว และค่าสาธารณูปโภคที่มากขึ้นเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น

สำหรับร้านอาหารจานเดียว Food Costs หรือ ต้นทุนอาหาร ถือเป็นส่วนสำคัญของ Operating Expenses

  • Food Costs (ต้นทุนอาหาร) : คือค่าใช้จ่ายโดยตรงสำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหาร
    • โดยทั่วไป ต้นทุนอาหารสำหรับร้านอาหารมักอยู่ที่ 28–35% ของรายได้ แต่สำหรับร้านอาหารไทยจานเดียวที่เน้นวัตถุดิบพื้นฐาน อาจอยู่ที่ 25–30% เนื่องจากวัตถุดิบบางอย่างมีราคาไม่สูงในไทย

ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนอาหาร (ข้าวกะเพราหมูสับ)

ส่วนผสมต่อจานราคา (บาท)
ข้าวหอมมะลิ 100 กรัม3 บาท
หมูสับ 100 กรัม15 บาท
ใบกะเพรา 10 กรัม 2 บาท
กระเทียม, พริก, เครื่องปรุง5 บาท
ไข่ไก่ 1 ฟอง (หากมีไข่ดาว)4 บาท
รวมต้นทุนต่อจาน29 บาท

จากตัวอย่างนี้ หากตั้งราคาขายที่ 60 บาท จะมี Food Cost Percentage สูงถึง 48% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไร แต่ถ้าราคาขายอยู่ที่ 100 บาท Food Cost Percentage จะอยู่ที่ 29% ซึ่งอยู่ในช่วงที่เหมาะสม

กลยุทธ์ลดต้นทุนอาหาร

  • ซื้อวัตถุดิบจำนวนมากจากแหล่งค้าส่ง
  • ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล
  • จัดการสต๊อกอย่างมีประสิทธิภาพ (FIFO)
  • ลดการสูญเสียอาหาร (Food Waste)

Operating Expenses อื่นๆ (Variable Costs)

  • ค่าแรงพนักงานชั่วคราว : เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานล้างจาน (ประมาณ 10,000–12,000 บาทต่อเดือนต่อคน)
  • ค่าสาธารณูปโภค (ส่วนที่ผันแปร) : ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าแก๊ส ที่เพิ่มขึ้นตามการใช้งาน (รวมทั้งหมดอาจอยู่ที่ 10,000–20,000 บาทต่อเดือน)
  • ค่าการตลาด : ค่าโฆษณา โปรโมชันต่างๆ (5,000–20,000 บาทต่อเดือน)
  • ค่าบรรจุภัณฑ์ : สำหรับบริการดีลิเวอรีหรือซื้อกลับบ้าน (2–5 บาทต่อหน่วย)

โดยสรุป Operating Expenses โดยประมาณ (รวม Fixed และ Variable Costs)

  • ร้านขนาดเล็ก : 100,000–250,000 บาทต่อเดือน
  • ร้านขนาดกลาง : 250,000–500,000 บาทต่อเดือน

3. การตั้งราคาอาหารจานเดียว : สมดุลระหว่างต้นทุน กำไร และราคาตลาด

การตั้งราคาอาหารจานเดียวให้เหมาะสมต้องพิจารณาหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ต้นทุนเท่านั้น กลยุทธ์ที่นิยมใช้คือ Cost-Plus Pricing (ต้นทุนบวกกำไร) ซึ่งเป็นการบวกกำไรที่ต้องการเข้าไปในต้นทุนทั้งหมด แต่ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตั้งราคา

  • Food Cost Percentage : ควรอยู่ที่ 25–30% สำหรับร้านอาหารจานเดียว เพื่อให้มีกำไรเพียงพอ
  • ราคาตลาด : อาหารจานเดียวทั่วไปในไทยมีราคาประมาณ 50–120 บาทต่อจาน ในร้านทั่วไป และ 120–200 บาทต่อจาน ในร้านที่เน้นคุณภาพหรือทำเลดี
  • กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) : ควรตั้งเป้าให้ครอบคลุม Fixed Costs และมีกำไรสุทธิประมาณ 5–10% ของรายได้

ตัวอย่างการตั้งราคา (ข้าวกะเพราหมูสับ)

  • ต้นทุนอาหารต่อจาน : 29 บาท
  • เป้าหมาย Food Costs Percentage : 30%
  • ราคาขาย = ต้นทุนอาหาร ÷ Food Cost Percentage = 29 ÷ 0.3 = 97 บาท (ปัดเป็น 100 บาท)

แต่ถ้าราคาตลาดในย่านนั้นอยู่ที่ 60–80 บาท อาจต้องพิจารณาลดต้นทุนอาหาร หรือยอมรับ Food Cost Percentage ที่สูงขึ้น แต่ต้องชดเชยด้วยยอดขายที่มากขึ้น

สูตรคำนวณราคาขาย

ราคาขาย = Food Cost Percentage เป้าหมายต้นทุนอาหารต่อจาน​

ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการตั้งราคา

  • วิเคราะห์คู่แข่ง : ดูราคาอาหารจานเดียวในร้านใกล้เคียง
  • เพิ่มมูลค่า : ใช้วัตถุดิบที่ดีขึ้น หรือเพิ่มเครื่องเคียง
  • โปรโมชัน : เสนอชุดเมนูเพื่อเพิ่มยอดขาย

4. สรุปและคำแนะนำเพื่อความสำเร็จของร้านอาหารไทยจานเดียวในปี 2568

การบริหารจัดการร้านอาหารไทย โดยเฉพาะร้านอาหารจานเดียวในปี 2568 จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างละเอียด

  • Fixed Costs : สำหรับร้านขนาดเล็กในปี 2568 อาจอยู่ที่ประมาณ 50,000–200,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับทำเลและขนาด
  • Operating Expenses : ทั้งหมดอาจอยู่ที่ 100,000–500,000 บาทต่อเดือน โดยมี Food Costs เป็นส่วนสำคัญที่ควรควบคุมให้อยู่ที่ 25-30% ของรายได้
  • การตั้งราคา : ควรให้ Food Cost Percentage อยู่ในช่วง 25–30% โดยอิงจากต้นทุนอาหาร และพิจารณาราคาตลาดควบคู่กันไป เช่น อาหารจานเดียวต้นทุน 30 บาท อาจตั้งราคาขายที่ 100–120 บาท ในทำเลทั่วไป หรือสูงกว่านั้นในทำเลที่ดี

กลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มกำไร

  • ควบคุมต้นทุน : จัดการสต๊อก ลดการสูญเสีย เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์
  • บริหารจัดการเมนู : ออกแบบเมนูให้ใช้วัตถุดิบที่หลากหลายร่วมกันได้
  • ใช้เทคโนโลยี : ระบบ POS ช่วยจัดการการขายและสต๊อก แพลตฟอร์มดีลิเวอรีเพิ่มช่องทางการขาย

มาถึงช่วงท้ายนี้ หากผู้ประกอบการทำความเข้าใจและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการตั้งราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพอาหาร ทำเลที่ตั้ง และกลุ่มลูกค้า จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของร้านอาหารไทยในปี 2568 ได้

Related Posts