รู้หรือไม่ แบรนด์แป้งพัฟสัญชาติไทย อย่าง ‘เจ้านาง’ มียอดขายสูงถึง 1 ล้านตลับต่อปี เป็นแบรนด์ร้อยล้าน ที่ตั้งเป้าเติบโต 600 ล้านบาท ในปี 2568
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ เริ่มต้นมาจากนักศึกษาวัยเพียง 22 ปี ‘คุณจัง–ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล’ ผู้มีความตั้งใจแน่วแน่ ‘อยากสร้างรายได้เพื่อดูแลคนในครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น’
เธอจึงเริ่มต้นหารายได้ ทำงานพาร์ตไทม์ เก็บเงินสะสมทีละเล็กละน้อย ก่อนนำเงินก้อนแรกมาต่อยอดทำแบรนด์ ‘เจ้านาง’ แป้งพัฟที่อยากแก้ Pain Point หน้าหยือหน้าหยา ปัญหาเรื่องผิวให้ผู้หญิงไทยและผู้ใช้ทุกคนสวยขึ้นและแตกต่างตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้

เงินก้อนแรก ลงทุนปั้นแบรนด์
ซีอีโอแบรนด์เจ้านาง เล่าให้ฟังว่า เธอเก็บเงินได้ก้อนใหญ่ จากการขยันทำงานตั้งแต่เรียน ม.4 ทั้งพาร์ตไทม์หลายต่อหลายงาน ไม่ยอมแม้แต่ซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ใส่ หรือซื้อของที่อยากได้ เพราะอยากเก็บเงินไว้พัฒนาตัวเอง
“เรารู้สึกว่า อย่างน้อยๆ ต้องมีเงินเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ พ่อแม่เราเหนื่อยแล้ว ในมุมมองเรา คิดว่าเป็นลูกที่ไม่ดี เวลาอยากได้อะไรแล้วต้องไปขอเงินพ่อแม่”
เธอนำเงินเก็บที่สะสมมาเริ่มปั้นแบรนด์แป้งพัฟ แน่นอนว่า ย่อมได้รับเสียงคัดค้านจากคนในครอบครัว หนึ่งในนั้น คือพ่อ เพราะรู้ว่า กว่าลูกจะเก็บเงินได้ ต้องผ่านความเหนื่อยยาก การนำเงินไปทุ่มทำธุรกิจก็เหมือนเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย
แต่ด้วยแพชชันอันแรงกล้า เธอก็เลือกที่จะทำ และอยากพิสูจน์ให้เห็น ว่าวันหนึ่ง จะต้องมีบ้านหลังใหญ่ มีรถขับ ทำให้ครอบครัวอยู่สบาย
การพัฒนาโปรดักต์
ในการพัฒนาโปรดักต์ หรือแม้กระทั่งหาแหล่งผลิต ด้วยประสบการณ์ที่ยังมีไม่มากพอ เธอจึงเลือกใช้ ‘กูเกิล’ เสิร์ชหาความรู้ แหล่งผลิต หรือข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตเครื่องสำอาง
“ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าการทำรีเสิร์ชเป็นแบบไหน การทำแบรนด์เป็นแบบไหน รู้แค่ว่าอยากมีสินค้าของตัวเองวางขายในห้างร้าน”
เธอลองผิดลองถูกเป็นปี เดินทางจากขอนแก่นมากรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาโปรดักต์ร่วมกับโรงงาน OEM และนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง เพื่อหาสูตรที่เหมาะสมกับคนไทย และคนเอเชีย เพราะวางเป้าหมายให้แบรนด์เติบโตในเอเชีย ไม่ใช่แค่ประเทศไทย
“เราจะเป็นคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ไทย ที่ไปต่อยอดในต่างประเทศให้ได้ สินค้าไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เราเชื่อมั่นมากๆ เราวางจุดเด่นของแป้งไว้ เป็นโทนเหลือง สามารถกันน้ำ กันเหงื่อ ติดทน ไม่เป็นคราบ เหมาะกับผิวแพ้ง่าย เราใส่สารสกัดหลักนำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งช่วยเพิ่มความไบร์ท ความผ่องให้ใบหน้า เป็นเทคโนโลยี Soft Focus ช่วยเบลอรูขุมขน เวลาถ่ายรูปแล้วหน้าจะเด้งทะลุจอออกมาเลย”
หลังจากนั้นถึงตั้งชื่อแบรนด์ ‘เจ้านาง’ เธอเลือกตั้งชื่อไทย สวนกระแสหลายแบรนด์ที่เลือกใช้ชื่อต่างประเทศ เพราะมองว่า ชื่อไทยเหมาะและเป็นตัวเองมากที่สุด บ่งบอกว่าเป็นผู้หญิงที่มีความงดงาม อ่อนช้อย เมื่อตบแป้งเจ้านางแล้วจะช่วยเพิ่มความสง่างามในแบบตัวเอง
ขายออนไลน์ และการทำการตลาด
ในล็อตแรกของการผลิตแป้งเจ้านาง มีจำนวน 10,000 ตลับ แบบตลับชั้นเดียว คุณจังตั้งราคาขาย 399 บาท โดยศึกษาจากฐานลูกค้า ในกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา วัยทำงาน สามารถจับต้องได้ในราคาที่ไม่สูงมาก และไม่ได้ถูกจนเกินไป
“สินค้าถูกไม่ใช่ไม่ดี แต่รู้สึกว่า ถ้าเราใส่ราคานี้ จะสามารถเป็นแบรนด์ที่ยกระดับขึ้นมาได้”
คุณจังเริ่มจากขายออนไลน์ในเพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์ เธอควบทุกหน้าที่ไว้เองทั้งหมด ทั้งโพสต์ขาย ตอบแชตลูกค้า แพ็กสินค้า และจัดส่ง และใช้ระบบตัวแทนจำหน่ายควบคู่
รวมถึงออกขายตามตลาดนัด แต่ก็ยังขายไม่ดี เพราะขาดชื่อเสียง ลูกค้าไม่ค่อยรู้จัก
เธอจึงทำการตลาดด้วยการ ‘ยิงโฆษณา’ และให้ ‘บิวตี้บล็อกเกอร์รีวิว’ คนแรกคือ นางพญาปลวก เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้แป้งเจ้านางเป็นที่รู้จักขึ้นมา ในสรรพคุณที่โดนใจผู้ใช้ คือกันน้ำ กันเหงื่อ ติดทน และยังมี Sp Saypan, Nune noppaluck, อายตา หรือ ตู่ Soundtiss ที่รีวิวให้ เป็นต้น
“เราส่งสินค้าให้ลอง บอกเขาว่า ถ้าไม่ดี ไม่ต้องใช้ พอใช้แล้วดี เขาก็รีวิวให้ บล็อกเกอร์มีความสำคัญกับชีวิตเจ้านางมาก จากที่เขาเลือกเรา” คุณจัง เล่าเสริม
เมื่อใช้แล้วดี ลูกค้าก็เริ่ม ‘บอกปากต่อปาก’ จำนวนมาก รวมทั้งเอาไปรีวิวในเว็บดัง ทั้ง จีบัน พันทิป ทำให้แบรนด์เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และผลิตซ้ำอยู่เรื่อยๆ
และเพื่อให้แบรนด์ยังอยู่ในตลาดเสมอ ส่วนสำคัญคือการ ‘ทำคอนเทนต์’ ลงแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น TikTok เพื่ออัปเดตโปรดักต์ และสร้างการรับรู้ ให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์กำลังทำอะไรอยู่
แตกไลน์โปรดักต์
การรับฟังฟีดแบ็กก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่เจ้านางให้ความสำคัญ
ระหว่างการจำหน่าย เริ่มมีฟีดแบ็กจากลูกค้าเรื่องแพ็กเกจจิ้ง เช่น อยากได้ที่วางพัฟ ทางแบรนด์จึงปรับมาเป็นตลับ 2 ชั้น แต่ไม่ได้ปรับเพิ่มราคา เพราะคิดว่าเป็นการเพิ่มกำไรให้ลูกค้า แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยก็ตาม
เจ้านาง ไม่หยุดอยู่แค่แป้งพัฟ ที่เป็นฮีโร่ โปรดักต์ แต่ขยายไลน์การผลิต ทั้ง รองพื้น ลิปสติก คุชชัน ซึ่งลูกค้าที่อยู่กับแบรนด์มาตั้งแต่ยุคแรก ก็ให้การตอบรับโปรดักต์ตัวใหม่เป็นอย่างดี ไม่ว่าแบรนด์จะทำอะไรก็พร้อมสนับสนุน
ซึ่งการแตกไลน์สินค้าใหม่ จะทดลองโดยเจ้าของแบรนด์ แล้วกระจายต่อให้อาสาสมัคร 100 คน ทดลองใช้สินค้า 1-3 เดือน ก่อนออกสู่ตลาดจริง
“อาสาสมัครเรามาจากคนในออฟฟิศ ลูกค้า หรือผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หลังใช้ 7 วัน เราจะสอบถามฟีดแบ็ก เพื่อนำมาพัฒนาให้ดีที่สุด อะไรจะหลุดก็ได้แต่คุณภาพสินค้าอย่าหลุด ถ้าผลิตออกมา แล้วการตลาดดี คนซื้อกันตั้งแต่ครั้งแรก แต่สินค้าไม่ดี คนก็ไม่กลับมาซื้อซ้ำ”
ในส่วนของช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบัน เจ้านาง กระจายสินค้าอยู่ในโมเดิร์นเทรด ไม่ว่าจะเป็น วัตสัน, CJ, อีฟแอนด์บอย, โลตัส, บิ๊กซี และเซเว่นฯ เป็นต้น โดยสามารถสร้ายอดขายแป้งพัฟได้ปีละ 1 ล้านตลับ
อยู่คู่คนไทยมา 10 ปี
ถึงปัจจุบัน แม้เจ้านางจะอยู่คู่สาวไทยมานาน 10 ปี แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่คุณจังอยากพัฒนาและต่อยอด เช่น ทำสกินแคร์ เซรั่ม เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า
และด้วยปัจจุบันแบรนด์ไทย กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนไทยรวมถึงชาวต่างชาติ คุณจังมองการเติบโตของแบรนด์ว่า สามารถต่อยอดไปต่างประเทศได้ ในระดับโกลบอล ซึ่งพฤติกรรมลูกค้าต่างชาติไม่ต่างกับคนไทย ที่เน้นคุณภาพสินค้า ใช้แล้วดี ใช้แล้วสวย ซึ่งตอนนี้แบรนด์มีตัวแทนจำหน่ายที่ประเทศจีนแล้ว รวมถึง สปป.ลาว และ เมียนมา เป็นต้น
“คนจีนเขาเรียกแป้งผู้หญิงผมทอง เขาใช้แล้วชอบ แต่เราต้องปรับไซซ์ให้เล็กลง เพราะเขาชอบแบบพกพา
จากความนิยมของแบรนด์ไทย เราไม่ได้มองเรื่องคู่แข่ง ไม่ได้ทำมาเพื่อแข่งกับใคร แค่ชนะใจตัวเอง และทำตามเป้าหมายให้สำเร็จก็พอแล้ว
ทุกครั้งที่เห็นแบรนด์เจ้านางอยู่บนเชลฟ์ จะรู้สึกภูมิใจมาก เราคือส่วนหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ไทยเติบโต คนไทยได้ใช้ ต่างชาติได้ใช้”
เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งสำคัญทำให้แบรนด์ยืนหยัดมานานถึง 10 ปี ซีอีโอสาว เผยว่า
“สิ่งที่ทำให้เราอยู่มาได้ 10 ปี คือคุณภาพสินค้า และความน่ารักที่แบรนด์มีต่อลูกค้า ลูกค้ามีต่อแบรนด์ เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีมาก ถ้าเราไปช่วยแพ็กของ เราก็จะเขียนขอบคุณลูกค้า ที่สนับสนุนเรา ใส่ของแถมเล็กๆ ไปให้ โดยซีอีโอเจ้านาง ลูกค้าก็จะดีใจ ถ่ายรูปว่าได้รับของจากซีอีโอ”
นอกจากนี้ เธอยังยึดคติ ที่พ่อสอนมาโดยตลอด “สอนให้มีขันติ มีมานะ และรู้จักปล่อยวาง ทำอะไรอย่าให้คนอื่นเดือดร้อน และเชื่อว่าทำแล้ว สักวันต้องสำเร็จ
และจากเป้าหมายที่เราอยากมีบ้านมีรถ เราทำสำเร็จแล้ว ทุกวันนี้สิ่งที่ได้คือกำไรชีวิต และเราก็ส่งต่อให้คนอื่น อย่างการให้ทุนการศึกษาเด็กมา 3 ปีแล้ว เพราะเราก็เคยไม่มีมาก่อน”
ถึงปัจจุบัน เจ้านาง มีคลังสินค้าอยู่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีแพลนขยายคลังสินค้ามาอยู่กรุงเทพฯ มีพนักงานในการดูแลราวๆ 80 คน จากที่เริ่มต้นทำคนเดียวทุกหน้าที่ อีกทั้งยังมีบริษัทของตัวเองที่เปิดขึ้นมาเพื่อผลิตสินค้า OEM และผลิตสินค้าของแบรนด์เอง