ในทุกฤดูร้อนของไทยผลผลิตที่โดดเด่นจากสวนของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน มังคุด มะม่วง ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ จากการคาดการณ์ของข้อมูลเอกภาพปี 2568 ในปีนี้ ผลผลิตอย่างทุเรียนเพิ่มขึ้น 37.25% เมื่อเทียบกับปี 2567 มีผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 1,280,000 ตัน ซึ่งจากการคาดการณ์ในปีนี้ 2568 ผลผลิตทุเรียนจะอยู่ที่ 1,760,000 ตัน สาเหตุที่ผลผลิตทุเรียนมีปริมาณที่สูงขึ้น เกิดจากเกษตรกรนิยมปลูกมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากราคาที่จูงใจในการทำตลาด แม้จะมีสัญญาณดีจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่ภัยแล้งที่เจอในทุกปีกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจฉุดคุณภาพและรายได้ของเกษตรกรให้ลดลงได้

จากรายงานของกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า ทุเรียนที่ให้ผลผลิตสูงจะอยู่ที่แถบภาคตะวันออก อยู่ที่ประมาณ 920,000 ตัน และผลผลิตทางภาคใต้อยู่ที่ 840,000 ตัน ซึ่งในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดมากที่สุด โดยเริ่มต้นผลผลิตจากทางภาคตะวันออก และถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี ขณะที่ผลผลิตมังคุดและมะม่วงก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่พัฒนามากขึ้นและการดูแลสวนที่ดีขึ้นของเกษตรกร แต่ท่ามกลางข่าวดีนี้ ปัญหาใหญ่ที่ทุกฝ่ายพูดถึงคือ “ภัยแล้ง” ที่ทำให้ผลไม้หลายชนิดออกดอกไม่พร้อมกัน ส่งผลต่อขนาดและคุณภาพ อีกทั้งยังทำให้เกษตรกรต้องใช้น้ำมากขึ้นและรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น

นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ผลผลิตในประเทศไทยโดยเฉพาะไม้ผลการจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สภาพอากาศถือว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะน้ำในการทำเกษตรยังไม่เพียงพอต่อการจัดการ เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยเจอเอลนีโญและลานีญาสลับไปมา จึงทำให้ในช่วงแล้งไม้ผลจะเกิดปัญหาในเรื่องของการออกดอกไม่สม่ำเสมอ หรือบางช่วงก็ขาดน้ำในช่วงที่ติดผล ส่งผลให้การเจริญเติบโตของผลเติบโตได้ไม่เต็มที่ ถ้ากระทบกับทุเรียนก็จะทำให้ผลทุเรียนแตก เนื้อไม่เต็มผลเกิดความเสียหาย
“อย่างที่ทราบกันดี สภาพอากาศถือว่ามีความสำคัญมาก บางครั้งเกษตรกรไม่สามารถที่จะควบคุมได้ เวลาที่ไปคุยกับเกษตรกรในเรื่องของภูมิอากาศ เราจะจัดการภูมิอากาศนี้อย่างไร คือเราจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เราต้องเตรียมการรับมือ อย่างที่รู้กันทุเรียนใช้น้ำจำนวนมากในแต่ละต้น ชาวสวนจึงต้องมีการพูดคุยและทำที่เก็บน้ำสำรอง ในกรณีที่น้ำไม่เพียงพอ เพื่อให้ช่วงที่ทุเรียนติดผลจะมีน้ำเพียงพอต่อความต้องการ และจัดการระบบน้ำให้ได้มาตรฐานมากที่สุด เพื่อให้การใช้น้ำมีคุณค่ามากที่สุด”

นอกจากในเรื่องของการจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพแล้ว รองอธิบดียังกล่าวอีกว่า การบริหารจัดการในเรื่องของทรงพุ่ม การตัดแต่งของไม้ผลถือว่ามีความสำคัญ เพราะการตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากต้น จะช่วยทำไม้ผลโดยเฉพาะทุกเรียนไม่ต้องมีกิ่งส่วนเกินมาแย่งอาหาร และนอกจากนี้ การจัดการสวนในเรื่องของวัชพืช วัสดุคลุมดิน รวมไปถึงการใช้ฮอร์โมนเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับต้นถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดผลกระทบให้กับต้นไม้ผลให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
เกษตรกรรุ่นใหม่ ฟันเฟืองสำคัญ
ที่ช่วยให้ภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง
นายวีรศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า การเข้ามาทำอาชีพทางการเกษตรอาจจะเป็นอาชีพทางเลือกสุดท้าย แต่อยากให้คนรุ่นใหม่มองว่าการเข้ามาทำอาชีพนี้นั้น ต้องมีความมุ่งมั่นในการทำอาชีพทางการเกษตร เพราะคนรุ่นใหม่เมื่อเข้ามาสู่อาชีพนี้แล้วถือว่าค่อนข้างได้เปรียบ โดยเฉพาะในเรื่องของการค้นหาองค์ความรู้ พร้อมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเข้ามาอยู่ในอาชีพนี้แล้วจึงต้องปรับหลักให้มั่น
“พอคนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคการเกษตร จึงทำให้เป็นผู้ที่ขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี เพราะจะช่วยในเรื่องของการเป็นผู้นำที่ทันสมัย จะเห็นว่าการทำเกษตรแปลงใหญ่ไม้ผลทางภาคตะวันออก ผู้นำส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ ความคิดความอ่านจะเป็นผู้ประกอบการ ที่รู้ลึกรู้จริงตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการตลาด จึงสามารถทำงานกับเกษตรกรรุ่นเก่าที่มากประสบการณ์ และมาผสมผสานความรู้ความสามารถไปด้วยกัน จึงทำให้การทำเกษตรในบ้านเราพัฒนาไปได้ไกลขึ้น”

จากความรู้และความเข้าใจที่เกษตรกรรุ่นใหม่ จึงทำให้ในเรื่องของสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง หรือสภาพอากาศแล้งที่เป็นภัยพิบัติ เกษตรกรรุ่นใหม่จะรับมือได้อย่างทันท่วงที อันเกิดจากการรับมือรองรับที่ได้ศึกษาข้อมูลอยู่เสมอๆ จึงเป็นอีกบทบาทที่ช่วยให้สมาชิกหรือเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน มีการปรับตัวและนำเทคโนโลยีและความรู้มารับมือกับสภาพแวดล้อมของอากาศมากขึ้น
การบริหารจัดการน้ำในสวนไม้ผล สู่วิถีเกษตรยั่งยืน
สำหรับพื้นที่การทำเกษตรในประเทศไทยนั้น นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า การใช้พื้นที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นในประเทศไทยค่อนข้างมาก เพราะพื้นที่ชลประทานในประเทศยังถือว่ายังไม่ครอบคลุม จึงทำให้การทำเกษตรบางชนิดต้องการทำในประมาณที่มาก การปลูกพืชในประเทศไทยจึงเปลี่ยนไปเพื่อเป็นการผลิตให้ได้สินค้าที่มีมูลค่าสูง เพราะฉะนั้นการปลูกพืชแต่ละชนิดก็จะต้องดูตามความเหมาะสมของพื้นที่นั้นๆ หรือมีการปรับเปลี่ยนเป็นปลูกพืชชนิดอื่นที่มีการลงทุนน้อยกว่าหรือได้ผลตอบแทนมากกว่า จึงได้มีการทำผ่านในหลายๆ โครงการ ได้แก่ การปลูกพืชตระกูลถั่ว การปลูกข้าวโพดหลังนา และการปลูกไม้ผลเศรษฐกิจตัวอื่นๆ

ในขณะเดียวกันในพื้นที่รับน้ำบางส่วนต้องมีการปร้บในเรื่องของการเพาะปลูก เพื่อให้มีความสอดคล้องเมื่อฤดูน้ำมาปริมาณที่เพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ นอกจากนี้ แหล่งปลูกไม้ผลการรับมือในเรื่องของพื้นที่ก็ถือว่าสำคัญ หากไม่ใช่พื้นที่ราบลุ่มภาคกลางต้องสำรองแหล่งน้ำธรรมชาติสำรองไว้เป็นอันดับแรก เพราะช่วงที่ติดผลผลิตในช่วงแรกไม้ผลจะใช้น้ำมาก การบริหารจัดการน้ำ การตัดแต่ง การบริหารจัดการแปลงในพื้นที่สวน การให้ปุ๋ยที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เกษตรกรต้องเตรียมตัวและรับมืออยู่เสมอ
นำนวัตกรรม-เทคโนโลยี บริหารแปลงใหญ่ให้เป็นธุรกิจ
ในด้านของการสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตไม้ผลให้กับเกษตร นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพหลายโครงการ อย่างเช่น การส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่โดยเน้นในเรื่องของการบริหารการจัดการธุรกิจ เพื่อให้การบริหารจัดการของเกษตรกรทำตลาดไปกว้าง รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการภายในกลุ่มแปลงใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้น มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่า รวมไปถึงการลดต้นทุน
“ตอนนี้การทำเกษตรมูลค่าสูง ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกษตรกรได้ต่อยอดจากการทำเกษตรแปลงใหญ่ โดยให้มีการนำนวัตกรรมและนำหลักการตลาดมาใช้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร เพราะเกษตรกรพูดถึงเรื่องการเพิ่มรายได้ให้ได้ 3 เท่า จึงมีการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้การผลิตมีความแม่นยำมากขึ้น”

แนวโน้มการตลาดและโอกาสของการส่งออกผลไม้ไทย
ในเรื่องของแนวโน้มการส่งออกผลไม้ของประเทศไทยโดยเฉพาะทุเรียน นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ทุเรียนในประเทศไทยถึงแม้จะมีในปริมาณที่มากแต่เกรดพรีเมียมมีปริมาณที่ไม่ได้มากตามตัวเลข เกิดจากปัญหาในเรื่องของการกระทบแล้ง ต่อมาเป็นปัญหาเรื่องการค้าตั้งแต่สารแคดเมียม สาร BY2 ปัญหาเกิดจากผลตรวจทั้งต้นทางและปลายทาง ทำให้ผลผลิตอย่างทุเรียนมีการค้าขายที่ไม่เกิดความคล่องตัว ซึ่งทางต้นทางอย่างประเทศไทยการตรวจสารเหล่านี้ยังไม่มีปัญหา แต่จะมีความล่าช้าในประเทศปลายทาง
ทั้งนี้ เกษตรกรในประเทศไทยมีการปลูกทุเรียนที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทุเรียนที่ผลิตออกมาทุกฤดูกาลจึงเป็นทุเรียนที่มีคุณภาพ การส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศรวมถึงการบริโภคภายในประเทศยังสามารถดำเนินไปได้อย่างคล่องตัว ในส่วนของมะม่วงตลาดก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยส่งออกไปยังประเทศจีน แต่ปัจจุบันมีการส่งออกไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มากขึ้น

“สุดท้ายอยากจะฝากถึงเกษตรกรหรือคนรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการผลิตไม้ผลคุณภาพ หรือการเป็นเกษตรกรมืออาชีพ ทุกคนจะต้องมีความพร้อมและความคาดหวังในการเกษตรอย่างเต็มที่ก่อน เมื่อมีแรงขับเคลื่อนในพัฒนาตนเอง ก็จะเกิดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป และทุกสวนต้องมีมาตรฐาน GAP เป็นอย่างน้อยในการการันตีคุณภาพ เมื่อผลผลิตมีคุณภาพก็จะเกิดการรวมกลุ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็งตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงมีอำนาจต่อรองในการทำการตลาด รวมไปถึงการมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพเกษตรกร” นายวีรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกปี เกษตรกรไทย โดยเฉพาะผู้ปลูกไม้ผลเศรษฐกิจอย่างทุเรียน มังคุด และมะม่วง ยังคงเดินหน้าพัฒนาการผลิตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดการแปลงที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการปรับตัวด้วยองค์ความรู้ใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเกษตรแปลงใหญ่สู่เกษตรมูลค่าสูง ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็มีบทบาทในการส่งเสริมมาตรฐานการผลิต เช่น GAP และการบริหารจัดการน้ำที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ ส่งผลให้แม้จะต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน แต่ภาคเกษตรไทยยังคงมีโอกาสเติบโตและแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก 25 เมษายน 2025