ตำลึง หรือที่หลายคนคุ้นเคยในฐานะ “ผักริมรั้ว” แท้จริงแล้วมีถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติเหมาะสมในระบบนิเวศป่า ซึ่งต้องการร่มเงา ความชื้น และพืชพี่เลี้ยงในการเจริญเติบโต โดยเฉพาะไม้ยืนต้นและไม้ไผ่ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการปลูกป่าในพื้นที่เกษตรผสมผสานอย่างเหมาะสม ตำลึงจึงเกิดขึ้นเองอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ และให้ผลผลิตที่ดี ใบใหญ่ รสชาติดี เก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี
คุณพอต-อภิวรรษ สุขพ่วง เจ้าของไร่สุขพ่วง อยู่ที่ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ผู้เป็นหัวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างรายได้ในชุมชน “ไร่สุขพ่วง” นับเป็นไร่ตัวอย่างของการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้ทำไร่นาสวนผสมอย่างมีไม่ขาดตกบกพร่อง

และไร่สุขพ่วงก็มีอะไรใหม่ๆ ให้เราตื่นเต้นได้อยู่เสมอ โดยครั้งนี้พระเอกของเรื่องคือ “ตำลึง” พืชพื้นบ้าน หรือผักริมรั้วที่เรารู้จักกันนี่แหละ หลายคนบอกไม่เห็นจะตื่นเต้นตรงไหน ก็คงจะใช่ถ้าบอกเรามองว่าตำลึงเป็นแค่ผักริมรั้วก็ไม่น่าตื่นเต้นจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าบอกว่าเขาเอา “ตำลึง” มาบดทำเป็นผงชาเขียว นี่ตื่นเต้นจนตะลึงกันเลยใช่ไหม งั้นตามมาดูกันเลยว่าเขาทำกันยังไง
คุณพอต บอกว่า ส่วนตัวขอเรียกตำลึงว่าเป็นพืชมหัศจรรย์ เพราะมีสิ่งที่น่าทึ่งหลายอย่างอยู่ในพืชตัวนี้ ความน่าทึ่งแรกคือ การปลูกตำลึงแบบอิงธรรมชาติในสวนป่าแทบไม่ต้องใช้แรงงานมากนัก อาศัยกลไกธรรมชาติ เช่น นกช่วยแพร่กระจายเมล็ดผ่านผลสุก หรือเก็บเมล็ดตำลึงโรยไว้บริเวณโคนไม้ใหญ่ก็เพียงพอ ต้นตำลึงจะขึ้นเองในเวลาไม่นาน และยิ่งตัดยิ่งแตกยอด จึงสามารถเก็บขายได้อย่างต่อเนื่อง
ความน่าทึ่งที่สองคือ แม้ตำลึงจะเป็นพืชที่ขึ้นเอง แต่สรรพคุณและคุณค่าทางโภชนาการกลับไม่ธรรมดา อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และเบต้าแคโรทีนที่สูง รวมถึงประโยชน์ทางยา เช่น บำรุงสายตา ลดน้ำตาลในเลือด และช่วยขับลม จึงเกิดแนวคิดนำตำลึงมาแปรรูปเพื่อให้สามารถบริโภคได้ตลอดปี โดยไม่ต้องพึ่งฤดูกาลนั่นเอง
ตำลึง…ไม่ได้เป็นแค่ผักริมรั้ว
แต่คือ ซูเปอร์ฟู้ด ของไทย!
เมื่อถามว่าทำไมเลือกที่จะเอาตำลึงมาแปรรูป คุณพอต บอกว่า อันดับแรกเลยคือตำลึงเป็นพืชที่ปลูกง่าย ขึ้นง่าย ถัดมาคือ เราอยากยกระดับจากพืชพื้นบ้านเคยถูกมองข้าม ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง และให้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการผสานภูมิปัญญาพื้นถิ่นกับนวัตกรรมเกษตรยุคใหม่ รวมถึงแสดงให้เห็นว่าการเกษตรแบบพึ่งพิงธรรมชาติสามารถสร้างทั้งอาหาร สุขภาพ และรายได้อย่างยั่งยืนในคราวเดียวกัน

โดยขั้นตอนการแปรรูปเริ่มจากการคัดเลือกใบตำลึงที่เหมาะสม ล้างให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำไปอบด้วยลมร้อนที่อุณหภูมิต่ำ (ประมาณ 55 องศาเซลเซียส) นานถึง 16 ชั่วโมง จนได้ใบแห้งที่มีความชื้นต่ำ เพียง 1-2% ก่อนนำไปบดละเอียดจนได้เป็น “ผงตำลึง” ที่เก็บได้นานโดยไม่ต้องใช้สารกันบูด
หลายคนถามมาว่า เราใช้ตำลึงผงจากไร่สุขพ่วง กับเมนูอะไรได้บ้าง และรับประทานอย่างไรดี ที่น่าสนใจ คุณพอต อธิบายว่า สิ่งที่ทำให้ว้าวที่สุดตอนที่ทดลองนำผงตำลึงไปชงกับน้ำอุ่นหรือผสมกับนมสด กลับได้รสชาติที่คล้ายชาเขียวญี่ปุ่น หอม กลมกล่อม และไม่มีคาเฟอีน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเครื่องดื่มสุขภาพที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย เพราะ “ตำลึงผง” ของเราถูกอบด้วยอุณหภูมิต่ำเป็นระยะเวลานาน จึงสามารถรักษาคุณประโยชน์ในกลุ่มวิตามินไว้ได้อย่างครบถ้วน และยังอุดมไปด้วยแคลเซียม และโปรตีนที่มากมาย จะดีมากถ้าพวกเราสามารถรับประทานโดยไม่ผ่านความร้อน เช่นเป็นผงโรยอาหารโดยที่ไม่ต้องปรุง หรือชงเป็นเครื่องดื่มในเมนูเย็น เช่น ทำตำลึงนมสด และนำไปปั่นกับน้ำปั่นผักผลไม้ แต่เราก็ยังสามารถนำไปประกอบอาหารต่างๆ โดยปรุงด้วยความร้อน เช่น ไข่เจียว ไข่ตุ๋น ผัดผัก ต้มยำ ซุปต่างๆ ซึ่งกลุ่มแคลเซียม และโปรตีน จะยังคงไม่สลายไปในความร้อน

