กะเพรา
กระบะไม้หรือลังไม้ กระบะไม้หรือลังไม้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ผสมผสานความเป็นธรรมชาติ ความยั่งยืน และความสวยงามได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับ ผักสวนครัวขนาดเล็ก เช่น ผักชี กะเพรา ✅ ข้อดี -ดูเป็นธรรมชาติและสวยงาม กระบะไม้มีโทนสีอบอุ่นและลายไม้ที่เข้ากับบรรยากาศของสวนหรือมุมพักผ่อน เหมาะสำหรับการตกแต่งพื้นที่ให้ดูมีสไตล์ เช่น สวนแนวชนบท (Rustic) หรือสวนแนวโมเดิร์น -รักษาสิ่งแวดล้อม การใช้ลังไม้เก่าหรือกระบะไม้ที่ไม่ได้ใช้งานช่วยลดการทิ้งขยะและสนับสนุนการรีไซเคิล ไม้เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ -ระบายอากาศได้ดี กระบะไม้ช่วยให้ดินในกระถางระบายอากาศได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของดินอัดแน่นและรากเน่า -ปรับขนาดและรูปแบบได้หลากหลาย สามารถทำกระบะไม้ในขนาดที่เหมาะสมกับต้นไม้หรือพื้นที่ที่มี ใช้ปลูกพืชหลากหลายชนิด เช่น ผักสวนครัว สมุนไพร ดอกไม้ หรือไม้ประดับ -แข็งแรงและทนทาน กระบะไม้ที่ทำจากไม้แข็ง เช่น ไม้พาเลทหรือไม้เนื้อแข็ง สามารถใช้งานได้หลายปี หากดูแลรักษาอย่างเหมาะสมวิธีการเตรียมกระบะไม้หรือลังไม้สำหรับปลูกต้นไม้ 1.เลือกกระบะไม้ที่เหมาะสม เลือกขนาดและความลึกของกระบะไม้ตามชนิดของต้นไม้ เช่นกระบะตื้น (
หากใครยังมีพื้นที่ว่างเหลือที่บ้าน อยากชวนมาดูแลตัวเอง ด้วยการปลูก “กะเพรา” สมุนไพรไทยต้านไวรัส เพื่อใช้เป็นอาหารบริโภคในครัวเรือน สร้างภูมิคุ้มกันให้กับทุกคนที่คุณรัก หากใครสนใจปลูกกะเพราเป็นอาชีพเสริมรายได้ ก็ถือเป็นเรื่องดีงาม มั่นใจได้เลยว่า อาชีพปลูกกะเพรา มีโอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ เพราะกะเพราเป็นพืชสวนครัวยอดนิยมที่ปลูกดูแลง่าย ขายดี ตลาดมีความต้องการใช้กะเพราตลอดทั้งปี กะเพรา มีสรรพคุณด้านสมุนไพรมากมาย ดังนี้ “ใบ” บำรุงธาตุไฟ ขับลมแก้ปวดท้อง แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน “เมล็ด” เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย “ราก” ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ปู่ยาตายายในบางท้องถิ่น สอนให้ลูกหลานใช้กะเพราเป็นสมุนไพรดูแลสุขภาพ เช่น นำใบสดหรือกิ่งสดมาขยี้ ใช้ไล่ยุง-แมลง และใช้ใบกะเพราตำผสมกับเหล้าขาว ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนน้ำมันสกัดจากใบกะเพราสด ช่วยล่อแมลงวันทองบินให้มาติดกับดักได้อีก กะเพราปลูกง่ายโตไว ปัจจุบัน กะเพราท
“กะเพรา” เป็นพืชผักสวนครัวในวงศ์ Lamiaceae ที่อยู่ครัวไทยมาอย่างยาวนาน กะเพรานั้นถือได้ว่าเป็นพืชที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลิ่นหอมฉุนที่ไม่ว่าจะได้กลิ่นอีกกี่ครั้งก็พาให้ท้องส่งเสียงโครกครากอยู่เสมอ กะเพราไม่เพียงแต่ปรากฎตัวในฐานะส่วนหนึ่งของอาหารยอดนิยมอย่าง “ผัดกะเพรา” เท่านั้น แต่ยังนิยมใช้เป็นยาสมุนไพร เนื่องจากกะเพรานั้นมีรสฉุนร้อนจึงสามารถที่จะช่วยขับลมและแก้อาการจุกเสียดท้องได้ดี อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงธาตุอีกด้วย กะเพรานั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ กะเพราแดงและกะเพราขาว โดยกะเพราแดงจะมีฤทธิ์ที่แรงกว่ากะเพราขาว สำหรับการใช้ประโยชน์เพื่อเป็นยานั้นจึงนิยมใช้กะเพราแดงมากกว่า ซึ่งโดยมากแล้วนั้น กะเพราที่เราพบเห็นนั้นจะความสูงเพียง 30-60 เซนติเมตรเท่านั้น แต่วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะพาไปดูวิธีการ “แกล้งกะเพรา” เพื่อให้ได้กะเพราต้นใหญ่ ใบเยอะ จะปลูกเพื่อบริโภคหรือเพื่อการตกแต่งก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น การแกล้งกะเพรา “การแกล้งกะเพรา” คือ วิธีที่ทำให้ต้นกะเพรานั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว ออกใบได้เยอะ และมีอายุที่ยืนยาวขึ้น โดยผู้ที่เผยแพร่วิธีการแกล้งกะเพรานี้ คือ อาจารย
“กะเพรา” ถือเป็นผักสวนครัวที่ปลูกง่าย ใครพอมีพื้นที่สักนิด หรือแค่ที่วางกระถางต้นไม้เล็กๆ สักหน่อย แค่หว่านเมล็ด รดน้ำก็ปลูกขึ้นแล้ว แต่ถ้าใครกินบ่อยก็อาจจะแตกยอดไม่ทันใจนัก เรามีเทคนิคให้ต้นกะเพราแตกใบเยอะๆ มาฝากกัน เป็นเคล็ดลับที่ไม่ลับของชาวสวนกะเพรา ผู้เด็ดใบขายมานับไม่ถ้วน! โดยวิธีนั้นง่ายมากคือ ทุกๆ เช้าให้เด็ดยอดอ่อนของใบกะเพราทุกวัน (ยอดที่เป็นดอก) อย่าให้ออกดอกได้ เพราะเจ้าดอกกะเพรา คือ การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของมัน ถ้าเราคอยเด็ดดอกออก ต้นกะเพราก็จะเข้าใจว่าไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้ ทำให้ต้องรีบแตกหน่อ ออกดอก ออกใบให้เยอะขึ้น เป็นการแกล้งให้กะเพราเข้าใจผิด (คงเข้าใจผิดว่าจะสูญพันธุ์ต้องรีบ ออกดอก ออกลูก มาเพิ่ม) “กะเพรา” เป็นทั้งอาหารและยาชั้นเลิศใช้ทางการแพทย์อายุรเวทมายาวนานกว่า 5 พันปี ในภาษาฮินดี เรียกว่า Tulsi หมายความว่า ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบได้ กะเพรา มี 2 สายพันธุ์คือ กะเพราขาว และกะเพราแดง ประโยชน์ของกะเพราต่อร่างกายมีมากมาย ดังนี้ ด้านสมอง-อารมณ์ พบว่าช่วยลดความวิตกกังวล ความเครียดและอาการซึมเศร้าได้ ซึ่งลดความเครียด ปรับสมดุลธาตุในร่างกายและจิตใจ ด้านการมองเห็น พบ
ตื่นตัวเรื่องโรคไข้เลือดออก อยากได้สมุนไพรที่ไล่ยุงได้จริงๆ และหาไม่ยาก มีความรู้จาก รศ.ดร. สุวรรณ ธีระวรพันธ์ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า ยุงเป็นพาหะของการเกิดโรคที่สำคัญ ได้แก่ ยุงลาย เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ยุงก้นปล่อง เป็นพาหะนำไข้มาลาเรีย ยุงรำคาญ นำโรคไข้สมองอักเสบ ยุงลายเสือและยุงอีกหลายชนิดเป็นพาหะโรคเท้าช้าง ที่ยังคงเป็นปัญหาของประเทศในเขตร้อน รวมทั้งประเทศไทยที่มีสภาพอากาศเหมาะแก่การแพร่กระจายพันธุ์ จึงต้องมีการควบคุมทั้งแหล่งกำเนิดและทำลายยุง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค การป้องกันไม่ให้ยุงกัดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กัน จึงมีการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ไล่ยุง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารสังเคราะห์และเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย เป็นแหล่งของพืชสมุนไพรหลายชนิดที่มีคุณสมบัติป้องกันและกำจัดแมลงได้ ปัจจุบันจึงมีการศึกษาและใช้สารจากธรรมชาติในการป้องกันยุงกัดมากขึ้น ได้แก่ สารสกัดจากสมุนไพรที่มีกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหย ทั้งนี้ สารป้องกันยุงที่ได้จากธรรมชาติมีข้อดีกว่าสารเคมีสังเคราะห์ที่ไม่สะสมเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โด
ในสภาวะวิกฤติโรคระบาด ภัยคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 ไข้เลือดออก หรือแม้แต่ไข้หวัดธรรมดาๆ ที่คนบ้านเราประสบพบเจอมาชั่วนาตาปี เมื่อก่อนการเข้าถึงยารักษาโรค ที่นักการแพทย์คิดค้นขึ้นมา ใช้รักษาคนไข้ให้หายจากโรคภัยหลายๆ อย่าง เข้าถึงยาก เพราะยาหายาก ราคาสูง แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็เช่นเดียวกัน เข้าได้ไม่ทั่วถึง และยาบางตัวก็มีราคาสูงเท่าทองคำ แต่คนเรามันก็ยังเวียนว่ายอยู่ในโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนั้น จึงมีการคิดค้น เอาองค์ความรู้สมัยเก่าก่อน ที่เรียกว่า “ภูมิปัญญา” มาใช้ หรือประยุกต์บ้าง โดยเฉพาะภูมิปัญญาด้านยารักษาโรค ที่เรียกกันว่า “สมุนไพร” หลายท่านคงรู้จักพืชชนิดนี้ “กะเพรา” พืชที่เป็นทั้งผัก เป็นทั้งสมุนไพร ที่รู้จักกันมี 2 ชนิด คือ กะเพราขาว และกะเพราแดง ทั้ง 2 อย่างเป็นผักมากคุณค่าเหมือนกัน นำมาทำอาหารได้หลายอย่าง แต่กะเพราแดง หายากกว่า ไม่ค่อยมีแพร่หลายเหมือนกะเพราขาว กะเพราแดงมีกลิ่น รส หอมฉุนรุนแรงกว่า นิยมนำมาเป็นยามากกว่านำมาทำอาหาร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนำมาทำอาหารไม่ได้ เพียงแต่เป็นผักที่หายากกว่าเท่านั้นเอง ก็มีกระจายไปอยู่ในสวนที่ต่างๆ แต่ไม่ค่อยพบที่ปลูก
คนไทยคงรู้จักเอาใบกะเพรามาปรุงกับข้าวมานานมากแล้ว เมื่อครั้งราชทูตฝรั่งเศส มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ เข้ามาอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เขาบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า น้ำจิ้มของชาวสยามนั้น “..ทำกันอย่างง่ายๆ ใช้น้ำนิดหน่อยกับเครื่องเทศ หัวกระเทียม หัวหอม กับผักลางชนิดที่มีกลิ่นดี เช่น กะเพรา..” แสดงถึงการใช้กะเพราเป็นผักปรุงกับข้าวในภาคกลางมาตั้งแต่สี่ร้อยปีก่อน และด้วยอิทธิพลความรู้แบบ “ตำรากับข้าว” เราจึงอาจเผลอเข้าใจไปว่า คนครัวที่ใช้ใบกะเพราคงมีแต่ในย่านภาคกลาง ที่เดี๋ยวนี้ก็ยังปรุงแกงป่าสูตรมาตรฐานโดยใส่ใบกะเพราเป็นหลัก ยังไม่ต้องกล่าวถึงผัดกะเพรา อาหารยอดฮิต ซึ่งแม้จะพบหลักฐานในช่วงหลังๆ ว่า คนเพิ่งรู้จักทำกินกันราวก่อน พ.ศ. 2500 ไม่นานนัก แต่มันก็กลายเป็นสำรับประจำชาติไทยไปแล้ว อย่างไรก็ดี ชุมชนที่ใช้ใบกะเพราหนักมือมากๆ ด้วยเช่นกัน คือกะเหรี่ยงในหมู่บ้านย่านชายแดนตะวันตก ริมเทือกเขาตะนาวศรี ตั้งแต่เพชรบุรีขึ้นไปจนถึงอุทัยธานีและตาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีกะเพราพันธุ์ดีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมากมายมาแต่เดิม อย่างแหล่งที่ผมเคยเก็บได้มากๆ ก็เช่น ริมทางก่อนเข้าตัวอำเภอห้วยกระเจา จังหว
หลายมุมของเมืองไทยเรา ที่มีร้านอาหารตามสั่ง มีเมนูมากมายให้เลือก สำหรับคนหิวข้าว แม้ไม่ใช่คนที่หิวโหย เพียงแต่ท้องมันเรียกร้องหาอาหาร เพื่อให้อิ่มท้องมีกำลังในการดิ้นรนไปตามเส้นทางชีวิตของตน มีหลายคนที่เข้าไปถึงร้านอาหารแล้ว ต้องใช้เวลาพักใหญ่ มองดูเมนูอาหาร เลือกกับข้าวที่จะกิน และหลายคนที่เข้าไปถึงร้านข้าวแล้วสั่งทันที เหมือนกับว่าจะเป็นคนคุ้นเคย ประเภทที่สั่งโดยไม่ต้องเลือกเมนูและตัดสินใจ จนพรรคพวกหลายคนเรียกมันว่า สั่งอาหารสิ้นคิด โถ!มันก็เป็นแค่ “กะเพราไก่ไข่ดาว” คิดยากนะนี่ คำว่า “กะเพรา” เป็นชื่อของพืชชนิดหนึ่ง อยู่ในกลุ่มพืชผักสวนครัว มักมีคนเขียนผิดเป็น “กระเพา” มั่งก็ “กระเพรา” ก็เขียนเมนูอาหารให้มันถูกก็แล้วกัน แต่ถึงบางทีแม้เมนูจะเขียนผิด แม่ค้าก็มักจะแย้งกลับว่า แล้วมันใช่อันเดียวกันหรือไม่ สั่งอาหารแล้วมาเสิร์ฟให้เหมือนกับที่ต้องการหรือไม่ ก็ว่ากันตามสะดวก วกกลับมาเรื่องกะเพรา ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งสมุนไพร” เป็นพืชที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ใช้เป็นพืชผักประกอบอาหาร ใช้เป็นส่วนผสานยารักษาโรค เป็นอาหารเสริมบำรุงสุขภาพ และบำรุงธาตุในกาย เป็นยารักษาโรคทั้งภายใ
หลายคนคงคุ้นเคยและรู้จักผักสวนครัวรั้วกินได้ที่เป็นผักกินใบต่างๆ อาทิ กะเพรา โหระพา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพืชทางเลือกสำหรับเกษตรกรที่ต้องการอาชีพเสริม โดยเกษตรกรหลายคนพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เลิกทำนาหันมาปลูกพืชผักเหล่านี้ รับทรัพย์เข้ากระเป๋ากันทุกวัน สำหรับผักสวนครัวตระกูลกะเพรา โหระพา และใบแมงลัก เป็นพืชล้มลุก ใบเป็นรูปไข่ บางและนุ่ม ลำต้นและใบมีขนปกคลุม มีรสเผ็ดร้อน ช่อดอกตั้งตรง มีดอกติดรอบแกนช่อเป็นชั้นๆ จัดเป็นเครื่องเทศที่ยอดนิยม ถือว่าเป็นราชาแห่งเครื่องเทศเลยก็ว่าได้ โดยในปัจจุบันนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารและนำมาทานเป็นผักเคียงกับอาหารชนิดต่างๆ ป้ามณี วงศ์มหิง เกษตรกรผู้ปลูกใบกะเพรา โหระพา และใบแมงลัก จำหน่ายที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เคยทำนา แต่สู้กับภาวะแล้งไม่ไหว เลยหันมาปลูกผักสวนครัว ซึ่งทำรายได้ทุกวัน ตกวันละ 500 บาท โดยบอกว่า แค่ 1 ไร่ ก็ตัดขายไม่ทันแล้ว “อย่างกะเพรา เป็นผักสวนครัวที่ปลูกง่าย ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ส่วนการปลูกก็ง่ายมาก ขุดหลุมตื้นๆ ปลูก รดน้ำ แล้วใส่ปุ๋ยคอก จากนั้น รดน้ำวันละครั้ง” สำหรับกะเพราที่ปลูกกันทั่วไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ ซีพี ออลล์ ลงนามความร่วมมือ การวิจัยและพัฒนาการเตรียมสารสกัดจากส่วนคัดทิ้งของกะเพรา (ดอก กิ่ง ก้าน และลำต้น) จากโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทานและการศึกษาฤทธิ์ลดไขมัน ปกป้องเซลล์ตับ ฆ่าเซลล์มะเร็ง สานต่อปณิธานอันมุ่งมั่นของซีพี ออลล์ “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” ที่จะร่วมพัฒนาสิ่งแวดล้อม ชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่อง ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงนโยบายขององค์กรและวัตถุประสงค์ความร่วมมือว่า วว. มุ่งดำเนินงานด้านวิจัย พัฒนา วิเคราะห์ ทดสอบ สอบเทียบ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม รวมถึงความร่วมมือทางวิชาการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมนวัตกรรม และขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อนำไปใช้ในการสนับสนุน ส่งเสริม และร่วมดำเนินการ กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเชิงบูรณาการ ตลอดจนมีการพัฒนาเครือข่ายในการพัฒนางานวิท