พืชทางเลือก
“ดอกกระเจียว” เป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย รสเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม นำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู และมีสรรพคุณทางยา ใช้บำบัดอาการท้องอืด ลดกรดในกระเพาะอาหาร นับเป็นสินค้าเกษตรทางเลือกที่มีอนาคต ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมามีเกษตรกรสนใจปลูกกระเจียวกันอย่างแพร่หลาย เพราะดอกกระเจียวเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง นายนพนันท์ คงพุดซา เกษตรกรหนุ่มชาวอำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการปลูกกระเจียวเป็นอาชีพ เดิมทีครอบครัวนายนพนันท์มีอาชีพทำนาโดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งแบกรับความเสี่ยงสูงจากสภาพฝนฟ้าไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับการทำนาเก็บผลผลิตได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ดังนั้น นายนพนันท์จึงสมัครเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานในสถานที่ต่างๆ ตามที่หน่วยงานในพื้นที่สนับสนุน รวมถึงได้รับองค์ความรู้ทั้งด้านการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร จากการเข้าร่วมโครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จึงเร
สวัสดีครับ พบกับผม ธนากร เที่ยงน้อย อีกครั้ง กูรูหลายวงการชี้เปรี้ยงตรงกันว่าหลังการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 วิถีชีวิตคนทั้งโลกจะเปลี่ยนไปไม่มียกเว้นแม้แต่พี่ไทยแลนด์แดนสยาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจถดถอยที่ทำให้หลายท่านต้องเปลี่ยนงานหรือบางท่านอาจจะตกงาน รายได้หดหายกันทั่วหน้า ดังนั้น ฉบับนี้ผมจึงอาสาหาเรื่องดีๆ มานำเสนอให้ท่านผู้อ่านที่สนใจกำลังมองหาอาชีพใหม่ อาชีพเสริมสร้างรายได้ ตามผมไปที่กาญจนบุรีกันเลยครับ ไผ่มีดีมากกว่าที่เรารู้จัก หากพูดถึงไผ่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นพืชธรรมดาที่พบเห็นกันได้ทั่วไป แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าไผ่ทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 90 สกุล และ 1,000 ชนิด เฉพาะในประเทศไทย กรมป่าไม้รายงานโดยอ้างอิงจากสราวุธและคณะ ว่ามีไผ่จำนวน 80-100 ชนิด (species) สำนักวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รายงานว่า ไผ่มีความสำคัญต่อวิถีของชุมชนในแง่ของพิธีกรรมบางอย่าง ซึ่งความหลากหลายของไผ่ในแต่ละพื้นที่นอกจากจะผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาติแล้วยังต้องผ่านการคัดเลือกโดยสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการให้ความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของชุมชนด้วย ทำให้ไผ่บางชนิดมีปริมาณที่น้อยลงหรือสูญหายไ
นายสมมาตร ยิ่งยวด ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 5 จังหวัดนครราชสีมา (สศท.5) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “มะเดื่อ” (Fig Fruit) หรือ “มะเดื่อฝรั่ง” ได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภคสินค้าปลอดสารเคมี (Organic Food) และกลุ่มผู้รักสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลมะเดื่อมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งทางการแพทย์มีการรับรองว่าผลมะเดื่อ มีส่วนช่วยป้องกันโรคนิ่วในไต ช่วยฟอกตับและม้าม และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เกษตรกรจึงนิยมปลูกในหลายพื้นที่นับว่าเป็นพืชทางเลือกที่น่าสนใจ สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี จากการลงพื้นที่ของ สศท.5 เพื่อติดตามสถานการณ์การผลิต และการตลาดมะเดื่อในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา พบว่า มีพื้นที่เพาะปลูก ประมาณ 50 ไร่ มีเกษตรกรที่ปลูก จำนวน 10-15 ราย โดยเกษตรกรมีการปลูกมะเดื่อในลักษณะต่างคนต่างปลูก กระจายอยู่ทั่วไปในหลายพื้นที่ ได้แก่ อำเภอปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน และ ปักธงชัย เป็นต้น เนื่องจากมีสภาพพื้นที่เป็นดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี เหมาะสมต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโต ซึ่งการปลูกมะเดื่อในปัจจุบันเกษตรกร จะนิยมใช้กิ่งพันธุ์ตอนหรือกิ่งปักชำที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น พัน
เครือซีพี เดินหน้า “สบขุ่นโมเดล” เต็มสูบ เปิดโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่น พลิกฟื้นป่า แก้ปัญหาภูเขาหัวโล้น หมอกควันไฟป่า ส่งเสริมปลูกกาแฟทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต่อยอดเพิ่มภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยแนวคิด Social Enterprise สร้างโรงแปรรูปกาแฟ ตั้งเป้าผลิตจำหน่ายกาแฟไปทั่วโลกหวังชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน เมื่อเร็วๆนี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นประธานในพิธีเปิดโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่น อ.ท่าวังผา จ.น่าน โดยมี นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร นายจิระศักดิ์ เสงี่ยมกิตติกุล ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหารและคอฟฟี่เฮาส์ ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะผู้บริหาร พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงาน บริษัทในเครือฯ ชาวบ้านชุมชนสบขุ่น ร่วมเป็นสักขีพยานในก้าวเดินต่อไปที่มั่นคงยั่งยืนของพี่น้องสบขุ่น จ.น่าน เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนิน
นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ในพื้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก (สศท.2) ได้ทำการศึกษาเศรษฐกิจสินค้าเกษตรที่สำคัญ รวมทั้งสินค้าทางเลือกที่มีศักยภาพสำหรับปรับเปลี่ยนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวเหนียวนาปี โดยผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ 1 การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวเหนียวนาปีในพื้นที่เหมาะสมมาก (S1) และเหมาะสมปานกลาง (S2) ควรส่งเสริมและพัฒนาโดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐาน ควบคู่กับการสร้างกลุ่มที่เข้มแข็งและพัฒนาระบบการบริหารจัดการกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มที่ 2 การผลิตในพื้นที่เหมาะสมน้อย (S3) และพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) ในกรณีที่เกษตรกรสนใจปรับเปลี่ยนการผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (มีพื้นที่ S3 และ N รวม 305,665 ไร่) พื้นที่อำเภอร้องกวาง อำเภอเมือง และอำเภอลอง พบว่า สามารถปลูกไม้ผลเป็นพืชทางเลือกได้ 2,613 ไร่ และใ
นายฉกาจ ฉันทจิระวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 จังหวัดขอนแก่น (สศท.4) เปิดเผยว่า ผักกาดหัว หรือ หัวไชเท้า เป็นพืชทางเลือกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ตลอดทั้งปี และเป็นที่ต้องการของตลาด มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 30 วัน ซึ่งหัวไชเท้ามีคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย ช่วยป้องกันและแก้ปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง แผลในกระเพาะอาหาร ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร และปรับสมดุลในระบบย่อยอาหาร จากการสำรวจพืชทางเลือกในจังหวัดขอนแก่น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 (สศท.4) พบว่า ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกหัวไชเท้าที่สำคัญของจังหวัดขอนแก่น อยู่ที่อำเภอบ้านแฮด และอำเภอบ้านไผ่ ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 13,428 บาท/ไร่ หรือคิดเป็นต้นทุน 1.78 บาท/กิโลกรัม เกษตรกรได้ผลผลิต 7,500 กิโลกรัม/ไร่ ขายได้ในราคา 4.18 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ (กำไร) 2.4 บาท/กิโลกรัม หรือ 18,000 บาท/ไร่ สำหรับอำเภอบ้านแฮด มีพื้นที่ปลูกหัวไชเท้า รวม 211 ไร่ มีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหัวไชเท้า รวม 97 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ปลูกผักกาดหัวหนองโง้ง ตำบลบ้านแฮด พื้นที่ 103 ไร่ กลุ่มผู้ใช้น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ต
“มะกรูด” พืชผักสวนครัว จำพวกเดียวกับขิง ข่า ตะไคร้ หอมแดง ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องต้มยำ ส่วนใบของมะกรูด ก็มีน้ำมันหอมระเหยกลิ่นหอมมากๆ เป็นได้ทั้งพืชผักที่นำมาประกอบอาหาร และสมุนไพร บำรุงหัวใจ แถมปลูกที่ไหนขายได้ตลอดทุกฤดูกาล ราคาขึ้นลงตามภาวะของตลาด มะกรูดตัดใบขายส่งแต่ละสวนแม้นจะขายได้ราคาไม่แพง ตั้งแต่ 10 บาท ต่อกิโลกรัม ไปจนถึงราคาแพงแบบสุดๆ หลังฝนไปแล้ว 35 บาท ต่อกิโลกรัม ขายลูกก็ได้ราคาดี 50 สตางค์ ต่อผล หรือจะจำหน่ายขายกิ่งพันธุ์ก็โกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ คุณสันติ คงคา อาศัยอยู่บ้านเลขที่176/2 หมู่ที่ 1 ตำบลจระเข้เผือก อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี โทร.087-161-2074 และ 093-682-1067 การทำสวนมะกรูดครอบครัว “คงคา” เรียกได้ว่า เป็นอาชีพมรดกจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก สร้างฐานะและรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับครอบครัวเกษตรกรตัวอย่างรายนี้มานานหลายสิบปีแล้ว ปัจจุบัน คุณสันติ นับเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะกรูดรายใหญ่ในท้องถิ่นแห่งนี้ โดยปลูกมะกรูดบนที่ดินของตัวเอง และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรลูกไร่ ประมาณ 200 ไร่ คุณสันติ เล่าให้ฟังว่า สวนแห่งนี้แต่เดิมเคยใช้ปลูกอ้อย ปลูกม
นายฉกาจ ฉันทจิระวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 จ.ขอนแก่น (สศท.4) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri – Map) ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น พบว่า สินค้าเกษตรสำคัญที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดของจังหวัด ได้แก่ ข้าวเหนียวนาปี ข้าวหอมมะลิ และอ้อยโรงงาน โดยข้อมูลสำรวจสินค้า ทั้ง 3 ชนิดพบว่า จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่ปลูกข้าวที่เหมาะสม (S1, S2) จำนวน 2.39 ล้านไร่ และพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) จำนวน 3.28 ล้านไร่ โดยผลตอบแทนสุทธิจากการผลิต ข้าวเหนียวนาปี ในพื้นที่เหมาะสม (S1, S2) เกษตรกรได้กำไร 1,743 บาท/ไร่ ส่วนพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) เกษตรกรขาดทุน 1,735 บาท/ไร่ ส่วนข้าวหอมมะลิ พื้นที่เหมาะสม (S1, S2) เกษตรกรได้กำไร 1,822 บาท/ไร่ ส่วนพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) เกษตรกรขาดทุน 1,791 บาท/ไร่ อ้อยโรงงาน มีพื้นที่เหมาะสม (S1, S2) สำหรับการปลูก 2.36 ล้านไร่ และพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) 3.38 ล้านไร่ ผลตอบแทนสุทธิในพื้นที่เหมาะสม (S1, S2) เกษตรกรได้กำไร 3,729 บาท/ไร่ ส่วนพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3, N) ได้กำไร 2,785 บ
อินทผลัม เป็นพืชตระกูลปาล์ม มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง โดยจะเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เมตร โดยใบติดอยู่บนต้น 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3-4 เมตร ลักษณะใบของอินทผลัมเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ เมื่อติดผลมีลักษณะเป็นรูปทรงรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ รับประทานได้ทั้งผลสดและสุก ซึ่งผลมีสีเหลืองถึงสีส้มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลเข้มเมื่อแก่จัด โดยผลสุกจะนิยมไปตากแห้ง จึงเป็นหนึ่งพืชที่น่าจับตามองในเรื่องของการทำตลาด คุณธัญญา กาญจนประดิษฐ์ อยู่บ้านเลขที่ 21/1 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาสามสิบหาบ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเกษตรกรที่ได้มองเห็นถึงอนาคตของการทำตลาดของอินทผลัมว่า เป็นสินค้าที่มีราคา โดยเธอได้แบ่งพื้นที่ทำนาบางส่วนมาปลูกอินทผลัมเพื่อเป็นการกระจายรายได้ เมื่อราคาข้าวตกต่ำก็ยังมีผลผลิตของอินทผลัมอยู่ แม้พื้นที่ปลูกจะเป็นดินที่ผ่านการทำนามาก่อน แต่ก็สามารถปลูกจนประสบผลสำเร็จ มอง อินทผลัม เป็นพืชที่สามารถทำราคาได้ คุณธัญญา เล่าให้ฟังว่า เป็นคนที่ชอบรับประทานอินทผลัมมานานมากแล้ว แต่ด้วยพืชชน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 ชวนเกษตรกรที่สนใจ หันมาปลูกโกโก้ หนึ่งในพืชทางเลือกปลูกแซมสวนปาล์มและมะพร้าว ปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตตั้งแต่อายุ 3 ปี แถมตลาดมีความต้องการสูง ช่วยสร้างรายได้งาม ปีละ 62,000 บาท นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน โกโก้ เป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของเกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจากการติดตามของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 (สศท.10) พบว่า เกษตรกรหันมาปลูกต้นโกโก้เป็นพืชเสริมในสวนปาล์มน้ำมันและสวนมะพร้าว เนื่องจากโกโก้เป็นพืชที่ต้องการร่มเงา นับเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งแก่เกษตรกร โดยโกโก้ปลูกได้ทั้งเชิงเดี่ยวและแซมในพืชอื่น หากปลูกในสวนมะพร้าว 1 ไร่ สามารถแซมโกโก้ได้ประมาณ 84 ต้น และในสวนปาล์ม 1 ไร่ สามารถปลูกแซมโกโก้ได้ประมาณ 54 ต้น สำหรับ โกโก้ เป็นไม้ผลที่เจริญเติบโตเร็ว สามารถให้ผลผลิตได้ตั้งแต่อายุ 3 ปี เมื่อต้นยิ่งมีอายุมาก ยิ่งให้ผลผลิตสูง อีกทั้งเป็นพืชที่ให้ผลผลิตทั้งปี ตลาดมีความต้องการสูง เพราะสามารถป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมได้มากมาย ทั้งบริโภคเป็นอาหาร ใช้เป็นผ