ภูมิปัญญาท้องถิ่น
“ปลาสลิดบางบ่อ” นับเป็นสัตว์น้ำจืดที่สำคัญของการพัฒนาตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดสมุทรปราการ ขณะเดียวกัน ปลาสลิดก็เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย รองจากปลานิล ปลาดุก และปลาตะเพียน (กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2558) มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ได้พัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับปลาสลิด เพื่อส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงปลาสลิด ให้มีความเข้มแข็ง สามารถเพิ่มมูลค่าของห่วงโซ่เศรษฐกิจปลาสลิดบางบ่อ ทั้งด้านต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อาจารย์เกษม พลายแก้ว และคณะ ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ได้ศึกษาพบว่า ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงปลาสลิดจำนวน 618 ราย ในพื้นที่อำเภอบางบ่อ อำเภอเมือง และอำเภอบางพลี คิดเป็นเนื้อที่เลี้ยงรวม 15,215.50 ไร่ มีกำลังการผลิตต่อปีทั้งหมด 3,451,677 กิโลกรัม โดยเฉพาะพื้นที่ตำบลคลองด่าน มีเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิดจำนวน 190 ราย คิดเป็นเนื้อที่การเลี้ยงทั้งสิ้น 4,643 ไร่ มีกำลังการผลิตต่อปี 782,180 กิโลกรัม แต่ในปัจจุบันความเจริญทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรม หมู่บ้านจัดสรร ส่งผลให้เกิดการใช้พื้นที่มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อกา
สสก.3 ระยอง จับมือเกษตรฉะเชิงเทรา เฟ้นหาแปลงเกษตรภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตร พบนาขาวัง ที่บ้านเขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โดดเด่นด้านภูมิปัญญาที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศของพื้นที่ 3 น้ำ จืด กร่อย และเค็ม ใช้ประโยชน์ได้ตลอดปี ปลูกข้าวคุณภาพ ตามด้วยเลี้ยงสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู และปลา มีรายได้จากการผลิตตลอดทั้งปีจากพื้นที่แปลงเดียว นายปิยะ สมัครพงศ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 (สสก.3) จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า สสก.3 ระยอง ได้ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา ในสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดเวทีกระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรและชุมชน เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตรให้มีความสมบูรณ์ และสามารถนำไปเผยแพร่ใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง ณ ตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา “นาขาวัง ต.เขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ที่เสี่ยงต่อการสูญหาย ขาดผู้สืบทอด เป็นภูมิปัญญาบอกเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเวลาติดต่อกันกว่า 30 ปี มีประวัติความเป็นมา เป็นเอกลั
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน เข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถกรรมชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ วังศุโขทัย สืบเนื่องจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ได้เสด็จไปทอดพระเนตรผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ในงานสืบสานอนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามโครงการยกระดับผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา OTOP ณ หอประชุมจามจุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เมื่อวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2563 โดยกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ นำกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ จำนวน 42 ราย ใน 20 จังหวัด ทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในโครงการดังกล่าว ทรงมีพระปฏิสันถารกับผู้ประกอบการที่เฝ้ารับเสด็จฯ และมีพระวินิจฉัยแนะแนวทางการพัฒนากรรมวิธี คุณภาพ ลวดลาย เพื่อนำไปต่
จังหวัดสกลนคร เป็นเมืองที่มีหลักฐานปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่า เป็นดินแดนแห่งอารยธรรม 3,000 ปี ก่อนประวัติศาสตร์ยุควัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยทวารวดี ลพบุรี ล้านช้าง สุโขทัย อยุธยา และจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จากหนังสือ สกลนครสัญจรได้ไม่สิ้นสุด ซึ่งจัดพิมพ์โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร เขียนไว้ว่า ในจังหวัดสกลนครมีแห่งประวัติศาสตร์ทางโบราณคดีถึง 83 แห่ง โดยมีชุมชนโบราณของแอ่งสกลนคร มีอายุ 600 ปี ก่อนพุทธกาล จนถึงพุทธศตวรรษที่ 8 หรือ 3,000-1,800 ปี มาแล้ว จุดเด่นของจังหวัดสกลนคร จึงปรากฏความชัดเจนในเรื่องวัฒนธรรมและวิถีชาวบ้านที่โดดเด่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ วิถีการทำผ้าย้อมครามอันเลื่องชื่อ และที่พลาดไม่ได้คือ ผ้าย้อมครามของกลุ่มทอผ้าย้อมครามบ้านดอนกอย ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ความโดดเด่นของผ้าย้อมคราม ซึ่งเป็นวิถีภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมานาน ทำให้วันนี้สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ในพื้นที่เกือบ 10,000 บาท ต่อคน เศรษฐกิจพอเพียง ที่บ้านดอนกอย แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ได้สร้างความสุข และความอิ่มใจให้กับ คุณพอดี เถื่อนโยธา หนึ่งในชาวบ้านดอนกอย จังหวัดสกลนคร ตั้งแต่กำเนิด คุณพอ
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เสริมสร้างศักยภาพชุมชนด้วยวิจัยและนวัตกรรม โดยนำนวัตกรรมม้วนเส้นไหมยืนที่ออกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และมูลค่าของผลิตภัณฑ์ โดย วช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) พระนคร ยกระดับคุณภาพการผลิตผ้าพื้นเมืองที่ครอบคลุมกระบวนการ ตั้งแต่การเตรียมเส้นยืนก่อนการทอ การออกแบบอุปกรณ์ม้วนเส้นไหม และการทอผ้า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563 ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.พรเทพ ศักดิ์สุจริต ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ได้ติดตามความสำเร็จของการนำนวัตกรรมเทคนิคการม้วนเส้นด้ายยืน ไปใช้ในการเพิ่มศักยภาพชุมชน ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโนนหว้าทอง ต.โนนม่วง อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นกลุ่มวิสาหกิจทอผ้าไหมที่สามารถนำนวัตกรรมไปผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นในกระบวนการผลิต ซึ่งปัจจุบันสมาชิกของกลุ่มมีรายได้ในการผลิตผ้าพื้นเมือง เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า และผลิตภัณฑ์ของกลุ่มได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจได้รับการตอบรั
จากเบี้ยเสียสองเพราะต้องฆาต ฟันฟาดเบี้ยหงายกระจายป่น ม้าก้าวยาวเรือก็เหลือทน เมื่อพี่จนแล้วจะไล่แต่รายโคน คำรำพึงรำพันของขุนแผนแสนสะท้านในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนข้างต้นเกิดขึ้น เมื่อครั้งที่ขุนแผนต้องถึงคราวอับจนข้นแค้น ผู้ประพันธ์ตอนนี้น่าจะเป็นล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 2 ที่กล่าวในเชิงอุปมาเปรียบเทียบเหมือนการเล่นหมากรุก ซึ่งมีตัวหมากชื่อต่างๆ ตามศักดิ์มีขุน ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ จากนั้นก็ยังมี ม้า เรือ โคน เม็ด จนถึงหอย หรือเปลือกหอยที่เรียกกันว่า หอยเบี้ย ซึ่งนำมาใช้แทนบรรดาทหารทั้งปวง หอยชนิดนี้เปรียบเสมือนทหารกล้าแนวหน้า เพื่อประจันบางกับฝ่ายข้าศึกศัตรู แต่ครั้นทหารเหล่านี้มีชัยยึดฐานที่มั่นของศัตรูได้ ก็ได้เลื่อนยศมีอำนาจหน้าที่สูงศักดิ์ขึ้นจากเบี้ยคว่ำกลายเป็น เบี้ยหงายทันที เมื่อกล่าวถึง “เบี้ย” ในกระดานหมากรุก จึงนึกถึง “เบี้ยซัด” ในสมัยอดีตที่บริเวณชายหาดจำนวนมาก ซึ่งต่อมาได้ชื่อเป็น “เมืองปากพนังในปัจจุบัน” “อำเภอเบี้ยซัด” หมายถึง หอยเบี้ยที่คลื่นซัดเอาเปลือกหอย หรือเบี้ยหอยจากท้องทะเลขึ้นมาเรียงรายเป็นกองมหึมาทับถมกันตามแนวชายหาดยื่นยาว เบี้ยในสมัยโบราณนั้นได้เก็บมาใช้เป็นสื่อกลางใ
สสว. ร่วมกับ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ บูสต์อัพสินค้านวัตกรรมที่มีดีไซน์โดดเด่นของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (SME Early Stage) ในธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ กว่า 85 แบรนด์ ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ระหว่าง วันที่ 24-25 สิงหาคม นี้ นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว. ร่วมกับ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดำเนินการโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (SME Early Stage) ในสาขาแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ต่อยอดนักออกแบบ นักศึกษา และทายาทธุรกิจ ให้มีความสามารถในการทำธุรกิจและเติบโตอย่างมีศักยภาพ ด้วยการยกระดับองค์ความรู้ในการพัฒนาสินค้าที่มีดีไซน์โดดเด่นและเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม (High Value Added) เช่น นวัตกรรมการเขียนลายจากยางกล้วย เป็นการใช้วัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกับนวัตกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและอนาคต การใช้เทคโนโลยีตกแต่งสำเร็จช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานของผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น กระเป๋าเป้สะท้อนน้ำ เสื้อผ้าป้องกันยุง
ซัมเมอร์นี้ ออกไปท้าแดดท่องเที่ยววิถีเท่ สัมผัสเส้นทางธรรมชาติ พร้อมดับกระหายด้วยน้ำมะพร้าวสดจากต้น โดยนักเดินทาง “จ๊อบ นิธิ สมุทรโคจร” พาลัดเลาะเมืองชลบุรี ค้นเสน่ห์แห่งดินแดนตะเคียนเตี้ย ชมเรื่องราวของมะพร้าวเงินล้าน ภูมิปัญญาจากโบราณอันภาคภูมิใจที่สร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ รายการสมุดโคจร On The Way ชวนสัมผัสเสน่ห์แห่งวิถีชุมชน ลงไปสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างรายได้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ “เที่ยววิถีเท่” โดยพิธีกรรายการ “คุณจ๊อบ – นิธิ สมุทรโคจร” รับหน้าที่เจาะลึกวิถีชุมชนตะเคียนเตี้ย จังหวัดชลบุรี ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สัมผัสภูมิปัญญาท้องถิ่นใกล้ชิดวิถีชีวิตชาวตะเคียนเตี้ย จากอดีตชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา และปลูกมะพร้าวเป็นอาชีพเสริม ส่งผลให้ปัจจุบันชุมชนตะเคียนเตี้ยแห่งนี้ เต็มไปด้วยสวนมะพร้าวอันเขียมชอุ่ม ซึ่งเป็นที่มาของเรื่องราวมะพร้าวเงินล้าน ที่สร้างรายได้เลี้ยงปากท้องให้คนในชุมชน จากการแปรรูปมะพร้าวเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างมูลค่าและรายได้อย่างยั่งยืน ณ สวนฟ้าใส ไอโกะ สวนมะพร
“น่าน” เป็นหนึ่งในเสน่ห์มนตราแห่งลานนา “แอ่วน่านม่วนไจ๋” ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เพราะน่านเป็นเมืองแห่งความสุข สงบ สะอาด มีแหล่งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ พืชไร่ไม้ผลก็มากมี รสชาติอาหารพื้นเมืองก็อร่อยเด็ด ชาวเมืองน่านน่ารัก มีน้ำใจ อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ผู้มาเยือนหลายราย “ตกหลุมรัก” Slow Life Slow City ของเมืองน่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้น อย่างเช่น “บัณฑูร ล่ำซำ” เจ้าสัวใหญ่ผู้กุมบังเหียนธนาคารกสิกรไทย ที่ย้ายสำมะโนครัวมาเป็นพลเมืองน่านแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไปแล้ว วิสาหกิจชุมชนชีววิถี ตำบลน้ำเกี๋ยน วิสาหกิจชุมชนชีววิถี ตำบลน้ำเกี๋ยน อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เป็นต้นแบบชุมชนแห่งการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพได้อย่างยั่งยืน ปี 2550 ชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้ได้นำวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนมาใช้ประโยชน์ และใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่ได้นอกจากจะปลอดภัยต่อผู้ใช้ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน และสร้างโอกาสมีรายได้สู่ชุมชน กิจการกลุ่มชีววิถีเป็นธุรกิจชุมชนในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน ซึ่งชาวบ้านทุกคนถือหุ้นเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน บริหารงานอย่างเป็นระบบ มีการคัดเลือกคณะกร
เม็ดพืชที่ขบเคี้ยวกันส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดจากธัญพืช ซึ่งเป็นถั่วชนิดต่างๆ แต่ไม่ได้มีเฉพาะเม็ดธัญพืชที่ขบเคี้ยวได้ เม็ดพืชอื่นๆ คนเราก็นำมาเป็นของกินเล่นได้เช่นกัน เม็ดกวยจี๊ คือเม็ดแตงโมก็เป็นเม็ดพืชขบเคี้ยวยอดนิยมในสมัยก่อน กินมากๆ แสบริมฝีปากเพราะสัมผัสกับความเค็มที่เคลือบเม็ดอยู่ เม็ดกวยจี๊มาจากวัฒนธรรมการกินของคนจีน ต่อมาเม็ดทานตะวันเข้ามาทดแทนเพราะทะนุถนอมริมฝีปากได้ดีกว่า เนื่องจากเม็ดทานตะวันไม่มีเกลือในการคั่ว ประกอบกับมีคุณประโยชน์มากมายหลายอย่างมากกว่าเม็ดกวยจี๊ เกาลัดป่าซึ่งมีอยู่ในป่าทางภาคใต้ในสมัยก่อน นำมาคั่วขายในงานวัดเป็นสิ่งหนึ่งที่เด็กๆ นิยมกินกัน โดยใช้ฟันขบเปลือกให้แตกกินเนื้อใน เกาลัดป่าจะมีขนาดเล็กและเป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่เหมือนกับเกาลัดจีนที่มีขนาดใหญ่และสีน้ำตาลดำเข้ม เม็ดกระบกคั่วถือเป็นอัลมอนต์แห่งภาคอีสาน มีกินกันทั่วไปทางภาคอีสาน ระบาดมาทางภาคกลางพอได้ลิ้มรสบ้างแต่ก็มีไม่มากนัก ส่วนเม็ดมะขามคั่วไว้กินเล่นยามขาดแคลนก็ซาความนิยมเนื่องจากแข็งมาก เม็ดบัวทางภาคกลางก็นิยมกินเล่นสดๆ กัน ปัจจุบันก็ไม่ได้รับความนิยม แต่เป็นที่รำลึกถึงความหลังเท่านั้น ในปัจจุบันนอกจากธัญ