สวนยางพารา
กยท. เปิดตัวนวัตกรรมหมวกยางพารากันฝน นำร่อง ติดต้นยางทั่วพื้นที่กว่า 30 ไร่ ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต อ.วังจันทร์ จ.ระยอง หวังต่อยอดทุกพื้นที่ในประเทศ มุ่งเพิ่มผลผลิตและรายได้ชาวสวนยาง ควบคู่การใช้ยางในประเทศ โดยมี นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ให้เกียรติเป็นสักขีพยาน พร้อมผู้บริหารจากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมในพิธีส่งมอบผลิตภัณฑ์หมวกยางพาราฯ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดกิจกรรมเปิดจุดสาธิตการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บเกี่ยวผลผลิตยางพารา ในเขตภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งกิจกรรมนี้ กยท. ได้รับความร่วมมือและบูรณาการร่วมกันกับ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดย กยท. มอบผลิตภัณฑ์หมวกยางพาราหรือร่มกันฝนจากยางพารา จำนวน 2,000 ชุด ติดตั้งในสวนยางพาราสาธิต ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่สวนยางพารา จำนวน 30 ไร่ เพื่อเป็นจุดต้นแบบเรียนรู้ของเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเก
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เผยสถานการณ์โรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารามีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบพื้นที่ติดโรคเหลือเพียง 20 ไร่เศษ จากพื้นที่เคยติดโรคเกือบ 8 แสนไร่ ผลพวงจากการผลัดใบตามฤดูกาลและสภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำในช่วงที่ผ่านมา ย้ำเกษตรกรชาวสวนยางอย่าชะล่าใจหมั่นตรวจสอบสวนยางพาราของตน หากพบโรคนี้ให้รีบแจ้ง กยท. ในพื้นที่ทันที ดร. กฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ล่าสุดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราว่ามีแนวโน้มดีขึ้น หลังลงพื้นที่สำรวจสวนยางพาราที่เคยได้รับรายงานการติดเชื้อ 10 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา สตูล พังงา ตรัง พัทลุง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี พบว่าต้นยางพาราที่ยังคงติดเชื้อโรคใบร่วงชนิดใหม่ฯ เหลือเพียง 20 ไร่ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเท่านั้น หลัง กยท. พบการระบาดของโรคดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2562 ในจังหวัดนราธิวาส และมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นเชื้อราที่ฟุ้งกระจายในอากาศ ส่งผลให้มีต้นยางพาราติดเชื้อเกือบ 8 แสนไร่ ทั่วประเทศในช่วงต้นปี 2563 ดังนั้นเพื่อให้การบริหารจัดการโรคได้อย่างมีประส
“กลุ่มเกษตรกรทำนาตะโหมด” นับเป็นสถาบันเกษตรกรแห่งความภาคภูมิใจของชาวตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ซึ่งก่อตั้งมานานตั้งแต่ปี 2517 มีสมาชิกแรกตั้ง 67 คน ด้วยทุน 3,350 บาท ผ่านไป 45 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 1,857 คน ทุนเรือนหุ้น 47 ล้านบาท และทุนสำรอง 26 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรทำนาตะโหมดมีการดำเนินงานที่เข้มแข็ง เป็นองค์กรที่ช่วยเหลือและส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างดี จากโครงการ “เปลี่ยนนาร้างเป็นนาข้าว” ทำให้เกษตรกรในพื้นที่สามารถพลิกฟื้นความเป็นอยู่ มีรายได้มั่นคง ขณะเดียวกันทางกลุ่มเกษตรกรทำนาตะโหมดก็มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน สามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งของเกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างดี จนได้รับการยกย่องให้เป็นกลุ่มเกษตรกรตัวอย่าง และได้รับรางวัลรางวัลระดับชาติถึง 5 ครั้ง โดยในปี พ.ศ. 2526 เป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีผลงานดีเด่นระดับประเทศ ปี พ.ศ. 2535 ได้รับรางวัลทำนาดีเด่นระดับชาติ และในปี พ.ศ. 2529, พ.ศ. 2548 และพ.ศ. 2555 ได้รับรางวัลกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ เข้ารับพระราชทานโล่ในพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา นางสาวมนัญญา ไทย
เกษตรกร กลุ่มอ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง ประสบปัญหาหนัก ราคาตกต่ำต่อเนื่อง ภัยแล้ง ต้นทุนการผลิตพุ่ง แถมซ้ำเติมด้วยมาตรการจำกัดการใช้ 3 สารเคมี กำจัดศัตรูพืช วอนขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หันมาช่วยเหลือเกษตรกร นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) เปิดเผยว่า ปัญหาของราคายางตกต่ำเกิดขึ้นจากตลาดการซื้อขายยางล่วงหน้าจากประเทศจีน เกิดการบิดเบือนในราคาต้นทุนที่แท้จริง จึงอยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แก้ไขปัญหาในระยะยาวมากกว่าการจัดการในระยะสั้น ด้วยนโยบายประชานิยม อาทิ การประกันราคายาง แต่อยากให้สานต่อแนวคิดของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการส่งเสริมให้แต่ละกระทรวงนำ ยางพารา ไปใช้ในการดำเนินงานต่างๆ รวมทั้งนำ พระราชบัญญัติควบคุมยางและพระราชบัญญัติของกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2542 เข้ามาบังคับใช้อย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกร และควบคุมการส่งออกได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ภาครัฐ ควรเปลี่ยนแนวคิดใหม่ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรพึ่งพาตนเอง ผ่านการอบรมให้ความรู้ สนับสนุนแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการนำสินค้าส
คุณธนวณิช ชัยชนะ หรือ คุณอ๊อด วัย 52 ปี ต่อสู้และฝ่าฟันมรสุมชีวิตมาเสมือนแมวเก้าชีวิต กว่าจะขึ้นมาสู่เส้นทางเถ้าแก่ หรือเจ้าของธุรกิจยางพาราติดอันดับ 1 ใน 5 ของจังหวัดบึงกาฬ แต่กว่าคุณอ๊อดจะมาอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมยางพาราเมืองไทยนั้น คุณอ๊อดเริ่มชีวิตจากการ “รับจ้าง” กรีดยางพาราในจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งแน่นอนว่า ในการกรีดยางนั้นเป็นอาชีพที่ทำในช่วงที่คนอื่นกำลังนอนอย่างมีความสุข แต่ผู้รับจ้างกรีดยางจะต้องใช้เวลา 21.00 น. ถึงตี 4 ของวันรุ่งขึ้น กรีดยางแต่ละต้น เรียกว่า ถ้าไม่สู้จริง ไม่อาจยืนด้วยลำแข้งกับอาชีพรับจ้างกรีดยางพารา โดยคุณอ๊อดอยู่ในวิถีรับจ้างกรีดยางพารา 2 ปีครึ่ง “ผมกรีดยางตั้งแต่ 3 ทุ่ม ถึงตี 4 ทำอยู่ 2 ปีครึ่ง ด้วยความสุข ซึ่งปีนั้นคือ ปี 2554 ราคายางสดอยู่ที่กิโลกรัมละ 170 บาท ทำให้มีรายได้เดือนละ 200,000-300,000 บาท” คุณอ๊อดเล่าให้ฟังถึงเส้นทางชีวิตก่อนเป็นเถ้าแก่เจ้าของโรงงานผลิตสินค้าแปรรูปจากยางพารากว่า 20 รายการ เส้นทางการต่อสู้ของคุณอ๊อดยังมีเรื่องสนุกและท้าทายอีก เมื่อคุณอ๊อดไปโลดแล่นและเผชิญชีวิตอยู่ในต่างแดน อย่างประเทศนิวซีแลนด์ โดยใช้วุฒิเพียงมัธยมศึกษาตอนปลาย หร
คุณวันดี สอนฮุง อยู่บ้านเลขที่ 304 หมู่ที่ 4 ตำบลหนองพันทา อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ ยึดอาชีพทำสวนยางพารามากว่า 10 ปี ต่อมาได้เลี้ยงแพะเป็นอาชีพเสริมควบคู่ไปกับการทำสวนยางพารา โดยในช่วงแรกเน้นเลี้ยงแบบขุนเพื่อส่งขายให้กับพ่อค้า และพัฒนาการเลี้ยงมาเรื่อยๆ เน้นผสมพันธุ์สำหรับขายลูกแพะ จนเกิดเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับเขาได้เป็นอย่างดี คุณวันดี เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนยึดอาชีพทำนาเป็นหลักเพื่อสร้างรายได้หลักให้กับครอบครัว บนเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ ต่อมาภายในจังหวัดบึงกาฬเกษตรกรหลายรายเริ่มมีการปรับเปลี่ยนมาปลูกยางพารากันมาก เขาจึงได้แบ่งพื้นที่นาบางส่วนมาปลูกยางพารา ประมาณ 10 ไร่ และพื้นที่ที่เหลือยังทำนาอยู่เช่นเดิม เมื่อต้นยางพาราเจริญเติบโตจนสามารถกรีดให้น้ำยางเป็นผลผลิตได้ จึงยึดเป็นอาชีพหลักเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว เมื่อเข้าสู่ปี 58 ยางพารามีราคาขายที่ลดลง จึงได้หาวิธีเสริมรายได้ด้วยการนำแพะเข้ามาเลี้ยงอีกหนึ่งช่องทาง “การเลี้ยงแพะเริ่มแรกเลยคือลูกชาย เขาก็มาบอกว่าเห็นที่อื่นเลี้ยงแล้วขายได้ ตลาดยังมีความต้องการ เขาก็เลยหานำมาเลี้ยง โดยช่วงแรกเน้นเลี้ยงเป็นแบบแพะขุนขายก่อน ก็
“ไร่ชวนฝัน” แหล่งปลูกพืชผักผลไม้ พื้นที่กว่า 150 ไร่ ตั้งอยู่จังหวัดลำปาง ถิ่นเมืองรถม้าที่ลือชื่อมานาน ความจริง ไร่ชวนฝัน ได้ผ่านสายตาท่านผู้อ่านอย่างละเอียดมาแล้ว ว่าความเป็นมาของสวนที่เจ้าของได้เปิดเผยรายละเอียดทั้งประวัติ การศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนรางวัลที่เขาได้รับอย่างมากมาย จนจำไม่ไหว ลงในนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 พืชพันธุ์หลากหลายที่เขาเริ่มบุกเบิกปลูกมา ทั้งประสบผลสำเร็จและล้มเหลวในด้านราคาขายก็เคยประสบมาแล้ว จนเป็นที่เลื่องลือของวงการเกษตร ทั้งภาคเอกชน สถานที่ราชการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต่างกล่าวขานและยกย่องในความสามารถของตัวเขาจนรับรางวัลมากมาย ต่างสดุดีในตัวเขาอย่างเลิศเลอ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจแก่วงศ์ตระกูล เขากล่าวถึงชีวิตในวัยเรียนที่มุ่งเน้นอยากเรียนเกษตรที่แม่โจ้ ทั้งที่ทางครอบครัวมีฐานะค่อนข้างจะมีกิน จากย่านหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง ไม่อยากให้มาเรียนเพราะร่างกายเขาบอบบาง ร่างเล็ก จนเพื่อนแม่โจ้ร่วมรุ่นตั้งชื่อไว้ว่า “เปี๊ยก” เป็นชื่อใหม่แทนชื่อเก่าที่พ่อแม่ตั้งไว้ว่า “ตุ๋ย” เขาเล่าให้ฟังว่า การมาเรียนแม่โจ้ต้องผ่านการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรี
จากสถานการณ์ราคายางพาราที่ตกต่ำมาถึงขีดสุดในช่วงเวลานี้ ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราได้รับผลกระทบไม่น้อยทีเดียว อาจเรียกได้ว่าราคาขายถูกกว่าต้นทุนการผลิตก็ว่าได้ เนื่องจากในหลายๆ สวนมีการจ้างแรงงานจึงส่งผลทำให้มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และที่สำคัญมีการปลูกเป็นแบบพืชแบบเชิงเดี่ยว ทำให้มีรายได้เข้ามาเพียงช่องทางเดียว ผลที่ตามมาคือการทำสวนยางพาราเสมอตัวหรือไม่ก็ขาดทุนจนเกิดภาระหนี้สิน แต่ด้วยสถานการณ์และวิกฤตที่เกิดขึ้น จึงเป็นบทเรียนส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางพารามีการปรับตัว โดยปรับเปลี่ยนทำสวนแบบลดต้นทุนการผลิต แต่ต้นยางพารายังให้ผลผลิตที่มีคุณภาพเหมือนเดิม จึงสร้างผลกำไรแม้จะมีบางช่วงที่ราคาขายยางพาราตกต่ำก็ตาม เหมือนเช่น คุณจำปี เอกพล อยู่บ้านเลขที่ 129 หมู่ที่ 4 ตำบลเหล่าทอง อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ ได้คิดหาวิธีผลิตยางพาราแบบลดต้นทุนภายในสวนของเธอ โดยนำน้ำหมักและสารชีวภัณฑ์ต่างๆ เข้ามาช่วยจนประสบผลสำเร็จ ทำให้การขายยางพาราแต่ละครั้งมีผลกำไร คุณจำปี เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนยึดอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง และเมื่อทำมาได้ระยะหนึ่งต้นทุนการผลิตไร่มันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจึงได้มีการปร
ทุกวันนี้ “สตรอเบอรี่” กลายเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะเติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน เกษตรกรเจ้าของสวนยางพาราหลายรายนิยมปลูก “สตรอเบอรี่” เป็นพืชเสริมรายได้ในสวนยาง เพราะสตรอเบอรี่ เป็นไม้ผลยอดนิยมในท้องตลาด ขายได้ราคาดี ขายได้ทั้งผลสด ต้นพันธุ์ ฯลฯ เรียกว่า รับทรัพย์ได้เป็นกอบเป็นกำ “คุณแต๋ง” – ประภัสสร สายวรรณ์ และ “คุณเอส” – อำไพร พลไตร สองสามีภรรยาเจ้าของสวนสตรอเบอรี่สุขสมใจ ซึ่งเป็นสวนสตรอเบอรี่แห่งแรกที่ปลูกกลางป่ายางพารา ของจังหวัดบึงกาฬ ยอดขายสตรอเบอรี่เติบโตสูงมาก ทั้งตลาดผลสดและต้นพันธุ์ ยอดสั่งซื้อไม่ได้เฉพาะพื้นที่ภาคอีสานเท่านั้น แต่มาจากทั่วประเทศเลยทีเดียว คุณแต๋ง ช่วยสามีดูแลกิจการสวนยาง เนื้อที่ 100 ไร่ ในพื้นที่อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ มีรายได้จากการทำสวนยาง ประมาณเดือนละ 30,000-40,000 บาท ต่อมาปี 2556 เกิดปัญหาราคายางตกต่ำ เธอจึงมองหาพืชตัวอื่นมาปลูกเสริมรายได้ในสวนยางพาราต้นเล็กอายุ 3 ปี เนื้อที่ 4 ไร่ บังเอิญเธอเคยช่วยแม่ปลูกสตรอเบอรี่ที่จังหวัดหนองบัวลำภูมาก่อน จึงนำไหลสตรอเบอรี่จำนวน 23 ต้น มาปลูกกลางร่องสวนยาง เนื้อที่ 1
คุณพันธ์ ยามดี เกษตรกรเจ้าของสวนยางพารา อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 14 ตำบลบ้านต้อง อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ โทร. 063-137-2489 ปัจจุบันเขามีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ด้วยการเลี้ยงแพะในสวนยางพาราของตนเองมากกว่า 3 ปี โดยเลี้ยงแพะพันธุ์ลูกผสม ที่สามารถต้านทานโรคได้ดี ใช้เวลาเลี้ยงขุนแพะในสวนยางพาราประมาณ 4 เดือน ก็จับแพะออกขายได้ ในราคา ก.ก. ละ 145 บาท ปัจจุบัน คุณพันธ์ ได้รวมกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนจำหน่าย ภายใต้ชื่อ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปศุสัตว์พัฒนาเจริญก้าวหน้าบ้านภูทรายทอง” อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ โดยมีสมาชิกกลุ่มฯ จำนวน 59 ราย เลี้ยงแพะขุนรวมกันกว่า 280 ตัว มีตลาดหลักอยู่ที่จังหวัดหนองคาย และ สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อผลผลิตถึงในสวน เพื่อส่งแพะไปขายต่อที่ประเทศเวียดนาม หลายคนอาจคิดว่า “แพะ” เป็นสัตว์เลี้ยงที่เหม็นสาบ สกปรก กินอาหารไม่เลือก แต่ความจริงแล้ว แพะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่เลี้ยงง่าย เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากที่สุด เพราะการเลี้ยงแพะมีจุดเด่นหลายประการ เช่น ให้ผลตอบแทนเร็ว ใช้ระยะเวลาสั้นกว่าการเลี้ยงโค แพะหากินเก่ง กินพืช ใบไม้ได้หลายชนิด แพะทนทานต่อทุกสภ