สัตว์เศรษฐกิจ
คุณปัญจะคุณ บุญกว้าง เจ้าของปัญมนัสฟาร์ม ซึ่งเป็นต้นแบบฟาร์มจิ้งหรีด มาตรฐาน GAP จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบันแมลงกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะแมลงกินได้ (Edible Bug) ถึงขนาดมีการคาดการณ์ว่าในอนาคต แมลงจะเป็นความหวังของมนุษยชาติ ปัจจุบันมีผู้บริโภคแมลงมากกว่า 2,000 ล้านคน และมีแมลงถึง 1,900 สายพันธุ์ที่ถูกบันทึกเป็นแมลงกินได้ในหมู่คนรักแมลงรู้ดีว่า แมลงมีคุณค่าสารอาหารสูงมาก ไม่ด้อยกว่าเนื้อสัตว์ชนิดใด คุณปัญจะคุณเริ่มผันตัวเองจากพนักงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ ที่อยากกลับบ้านมาพัฒนาบ้านเกิดของเขาให้ดีขึ้น เขาสนใจศึกษาการเลี้ยงจิ้งหรีด จึงตัดสินใจกลับมาทำฟาร์มจิ้งหรีด โดยได้รับคำแนะนำการเลี้ยงจิ้งหรีดจากหน่วยงานราชการในจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด เข้ามาช่วยให้ความรู้ เขาเริ่มต้นเลี้ยงจิ้งหรีดแบบมีมาตรฐาน และได้ช่วยคนในชุมชนให้มีรายได้จากการเข้ามาทำฟาร์มร่วมกัน ทำให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชนอีกด้วย คุณปัญจะคุณ กล่าวว่า ผมเริ่มจากการทำฟาร์มจิ้งหรีดโดยเข้าร่วมอบรมฟาร์มมาตรฐาน GAP กับทางสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดขอนแก่น และปรับปรุงฟาร์มของตนเองให้มีมาตรฐาน เพื่อขยายการส่งออกไปสู่ต่า
“หนูพุก” เป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจที่น่าลงทุน เพราะทำได้ง่ายแต่สร้างรายได้สูง ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงไม่มาก ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ลงทุนครั้งเดียว ให้ผลตอบแทนไม่รู้จบ หากหนูพุกไม่ตายก็ออกลูกออกหลานได้ไม่สิ้นสุด ที่สำคัญ ตลาดมีแนวโน้มเติบโตดี กระแสการบริโภคเนื้อหนูพุกขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ผู้บริโภคจำนวนมากชื่นชอบการบริโภคเนื้อหนูพุกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ เนื้อนุ่มหวาน ไม่เหม็นสาบ จึงมีเกษตรกรจำนวนมากหันมาทำฟาร์มเลี้ยงระบบปิดในบ่อปูน เพื่อเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ ลักษณะทั่วไป “หนูพุก” มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำเป็นระเบียบ ขนบริเวณหลังเป็นขนแผงและมีหางยาว หนูพุกแบ่งออกได้ 2 สายพันธุ์ คือ หนูพุกเล็ก และหนูพุกใหญ่ (หนูแผง) การเพาะเลี้ยงหนูพุกเล็ก ไม่ต้องลงทุนมาก แค่ไปจับพ่อแม่พันธุ์ในไร่นาด้วยวิธีแบบบ้านๆ แล้วมาเพาะพันธุ์ต่อ ส่วนหนูพุกใหญ่ มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าหนูนาหรือหนูพุกเล็ก นิยมซื้อพ่อแม่พันธุ์มาเลี้ยงเพาะขยายพันธฺฺุ์ วิธีการเพาะพันธุ์ การเลี้ยงหนูพุกไม่ยาก ใช้วงบ่อซีเมนต์เทินกัน 2 บ่อ ก็เลี้ยงหนูพุกได้
จังหวัดสตูล นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารทะเลอันอุดมสมบูรณ์แล้ว ก็ยังมีอาหารทางเลือกอีกอย่างที่กำลังมาแรงเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่กลับมาใหม่คือ การเลี้ยงกระต่ายกินเนื้อ ในช่วงเศรษฐกิจที่ซบเซา หลายอาชีพหยุดชะงัก แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป หนุ่มลูก 4 นักเรียนทุนด้านกราฟิกดีไซน์จากประเทศอินโดนีเซีย คุณอับดลรอมาน หลังปูเต๊ะ หรือ บังวัน อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ที่ 1 บ้านฉลุงใต้ ตำบลฉลุง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ได้ทำอาชีพเพาะเลี้ยงกระต่ายเนื้อเป็นอาชีพเสริม เป็นผู้นำกระต่ายเนื้อกลับมาในประเทศไทยตอนนี้เลยก็ว่าได้ ชื่อว่าฟาร์ม “กระต่ายเนื้อสตูล” การเลี้ยงกระต่ายเนื้อเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่นี้ ที่กลับมานิยมในปัจจุบัน เพราะธุรกิจต่างๆ มากมายที่หยุดชะงัก แต่คนเราก็ต้องกิน จึงคิดว่าทำเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกินก็น่าจะไปได้ดี สายพันธุ์กระต่ายเนื้อ “ผมเลี้ยงกระต่ายเนื้อ พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์ขาวตาแดง พันธุ์แคลิฟอร์เนีย พันธุ์ไจแอนท์ พันธุ์พัฒนาจากคนไทยคือ PL สายพันธุ์เหล่านี้ให้ลูกเยอะ เลี้ยงลูกเก่ง ให้เนื้อเร็ว และพันธุ์เร็กซ์ แต่พันธุ์เร็กซ์เลี้ยงน้อยกว่าพันธุ์อื่น เพราะว่าใช้ระยะเวลานาน คือ 6 เดือนขึ้นไป ให้เนื้ออร
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การเลี้ยงจิ้งหรีด โดยทั่วไปสามารถเลี้ยงได้ทุกช่วงเวลา โดยช่วงที่จิ้งหรีดเจริญเติบโตได้ดีที่สุดคือ ช่วงฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่จิ้งหรีดจะกินอาหารตลอดเวลาทำให้โตไวกว่าช่วงฤดูอื่น ตลอดจนแม่พันธุ์จิ้งหรีดวางไข่ได้ดี ไข่จิ้งหรีดมีการฟักเป็นตัวอ่อนได้ค่อนข้างเร็วอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงจิ้งหรีดในช่วงร้อนแล้งก็ยังคงต้องได้รับการดูแลจัดการการเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดต้องพึงระวัง ได้แก่ 1. ควรจัดที่หลบซ่อนของจิ้งหรีดภายในกล่องเลี้ยงให้มีมากพอและจัดให้โปร่ง เพื่อให้ภายในกล่องเลี้ยงมีการถ่ายเทอากาศได้ดี หากอากาศร้อนมาก ควรมีการฉีดพ่นน้ำเป็นระยะๆ เพื่อระบายความร้อน 2. ควรเปลี่ยนน้ำในถาดที่ใช้เลี้ยงจิ้งหรีดทุกวัน โดยอาจนำวัสดุที่ดูดซับน้ำได้ใส่ในถาดน้ำด้วยเพื่อให้น้ำระเหยช้าลง และเก็บมูลจิ้งหรีดเดือนละสองครั้ง 3. อาหารที่ใช้เลี้ยงจิ้งหรีด ถ้าเป็นอาหารสำเร็จรูปต้องไม่เสื่อมคุณภาพ ถ้าเป็นพืชผัก เช่น ฟักทอง หรือผักพื้นบ้านอื่นๆ ต้องปลอดภัยจากสารเคมี เพราะจิ้งหรีดจะมีความรู้สึกไวต่อสารเคมี หากกินอาหารที่มีสารเคมีปะปนอย
นกกระจอกเทศ จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา สำหรับคนไทยแล้วการจะพบเห็นนกกระจอกเทศก็มีเฉพาะตามสวนสัตว์เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว นกกระจอกเทศเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนหลายอย่างที่มีประโยชน์ หนังนกกระจอกเทศ คุณภาพเยี่ยมดีกว่าหนังจระเข้อย่างมาก เนื้อนกกระจอกเทศ รสชาติอร่อยเหมือนเนื้อวัว แต่ไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำกว่ามาก ขนนกกระจอกเทศ ทำเครื่องประดับ สิ่งของตกแต่ง เครื่องนุ่งห่ม ได้อย่างหลากหลาย เปลือกไข่นกกระจอกเทศ ยังใช้แกะสลัก หรือวาดลวดลายเป็นเครื่องประดับ งานศิลปะต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวเป็นคุณลักษณะของสัตว์เศรษฐกิจอย่างแท้จริง อาจจะเป็นของแปลก ถ้าเมืองไทยจะตั้งฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศ แต่โดยความเป็นจริงแล้วในต่างประเทศมีฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศมากมาย อย่างในอเมริกามีถึง 3,000 กว่าฟาร์ม แล้วยังตั้งเป็นสมาคมผู้เลี้ยงนกกระจอกเทศอีกด้วย หนังนกกระจอกเทศเป็นที่นิยมของผู้ผลิตชั้นนำ เช่น คริสเตียนดิออร์ เทสท์โตนี ฯลฯ เพื่อใช้ผลิตรองเท้าบู๊ต เข็มขัด กระเป๋าถือ กระเป๋าเดินทาง เป็นต้น ซึ่งประเทศที่นิยมสินค้าจากหนัง
วันที่ 23 มิถุนายน 2566 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดการประชุมชี้แจงกรอบการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ 2567 (NRCT Open House 2023) และแถลงผลสำเร็จจากการวิจัยและนวัตกรรม ด้านสัตว์เศรษฐกิจสัตว์เศรษฐกิจ โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุมฯ เพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการรับข้อเสนอการวิจัยและนวัตกรรม และกรอบการวิจัยและนวัตกรรมที่ วช. ให้การสนับสนุนทุนการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 27 มิถุนายน 2566 ในรูปแบบ onsite ณ ห้องจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ณ อาคาร วช.1 และรูปแบบออนไลน์ผ่าน (VDO Conference) ด้วยระบบ Zoom การถ่ายทอดสด (Live Streaming) ผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ โดยมุ่งเน้นผลสำเร็จจากการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐก
โซน SX Marketplace จัดบูธสินค้านานาชนิดเต็มพื้นที่ ด้วยความตั้งที่จะนำสุดยอดสินค้าพอเพียง ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากกว่า 300 ร้านค้ามาร่วมจำหน่ายในงาน แยกประเภทเป็นโซนต่าง ๆ อาทิ Sufficient Living นำเสนอสุดยอดผลิตภัณฑ์จากชุมชนท้องถิ่นในโครงการพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ โครงการ OTOP โครงการประชารัฐฯ และโครงการชุมชนดีมีรอยยิ้ม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสร้างอาชีพและรายได้ให้ชุมชน Sustainable Living เอาใจคนรักงานฝีมือและงานดีไซน์กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้เลือกสรร ตลาดสินค้า Green Living จำหน่ายสินค้านวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ทั้งเครื่องมือ Smart Farm ผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาด และยานพาหนะแห่งอนาคต นอกจากนั้นยังมี Sustainable Book Garden ศูนย์รวมหนังสือแต่งบ้าน แนวทางการจัดสวนเพิ่มพื้นที่สีเขียวสุดผ่อนคลายในบ้าน และปิดท้ายกับเวิร์คช็อปตลาดต้นไม้ที่ชวนให้ทุกคนหันมาปลูกต้นไม้ เพราะไม่ว่าคุณจะมีพื้นที่เล็กใหญ่ขนาดไหนก็สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อทำให้โลกของเราสดชื่นอย่างยั่งยืนไปด้วยกันได้ เริ่มกันที่การหาแรงบันดาลใจดีๆ เกี่ยวกับงานดีไซน์และความยั่งยืนท
สำหรับในประเทศไทย พบจิ้งหรีดได้ทั่วทุกภูมิภาค ชนิดของจิ้งหรีดที่พบ ได้แก่ จิ้งหรีดทองดำ จิ้งหรีดทองแดง (จิ้งโกร่ง หรือ จิ้งกุ่ง) แต่ในฉบับนี้จะขอกล่าวถึงการเลี้ยงจิ้งหรีดทองแดงลาย หรือในภาษาอีสานเรียกว่า แมงสะดิ้ง นับเป็นจิ้งหรีดอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจมากที่สุด เพราะเป็นจิ้งหรีดที่มีขนาดเล็ก ให้ไข่เยอะ ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน นอกจากนี้ ยังมีโครงสร้างร่างกายที่ไม่แข็งเกินไป ง่ายต่อการนำไปแปรรูปและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อการส่งออกอีกด้วย คุณอิงครัตน์ ธัญศิรธนารมย์ หรือ พี่ซอนญ่า อยู่บ้านเลขที่ 88 บ้านหนองโสน หมู่ที่ 11 ตําบลหนองข่า อําเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ อดีตนักวิชาการด้านอาหารสัตว์ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงแมงสะดิ้ง สู่การก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนบ้านหนองโสน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้คนในชุมชนแต่ละเดือนไม่น้อย พี่ซอนญ่า บอกเล่าถึงที่มาของการเลี้ยงแมงสะดิ้งให้ฟังว่า ตนเองเริ่มทำการทดลองเลี้ยงจิ้งหรีดหรือแมงสะดิ้ง ในปี 2559 ซึ่งถ้าหากย้อนไปตอนนั้น จิ้งหรีดยังไม่ถูกยกให้เป็นแมลงเศรษฐกิจ และยังไม่มีการรับรองมาตรฐาน GAP เกิดขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้ตัดใจเลี้ยงจิ้
“ไก่เชิงท่าพริก” เป็นไก่ชนพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดตราดอย่างยาวนาน ลักษณะเด่นของไก่เชิงท่าพริกคือ มีลีลาชั้นเชิงดี ตีเจ็บ เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มเซียนไก่ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดตราดจึงมุ่งอนุรักษ์และส่งเสริมพัฒนาสายพันธุ์ไก่พื้นเมืองตราดให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง ทั้งในประเทศและส่งออก เพื่อส่งเสริมอาชีพและกระจายรายได้สู่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ชนระดับรากหญ้าให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เปิดตลาดออนไลน์ คุณพรชัย แนวพนา เกษตรกรผู้อนุรักษ์พัฒนาไก่พื้นเมืองตราด บ้านเลขที่ 90/6 หมู่ที่ 3 อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เล่าว่า ตนเองมีอาชีพทำสวนยางพารา สวนผลไม้ และเลี้ยงไก่ชนพื้นเมืองประมาณ 300 ตัว โดยนิสัยชอบเลี้ยงไก่มาก เลี้ยงตั้งแต่อายุ 12 ปี รวม 20 ปีเต็ม ไก่ชนที่คัดจะส่งขายผ่านพ่อค้าคนกลาง เมื่อ 3 ปีเริ่มทำตลาดออนไลน์ ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก เพชรพรชัยตราด เมื่อขายทางออนไลน์มีรายได้เพิ่มขึ้น 80-100% เช่น จากที่เคยขายให้พ่อค้าคนกลางตัวละ 1,000-1,500 บาท จะขายได้ราคาเพิ่มตัวละ 2,000-2,500 บาท ปกติจะมีคลิปประลองเชิงสั้นๆ 2-3 คลิป โพสต์ไว้ให้ลูกค้าดูอยู่แล้ว เมื่อลูกค้าสนใจจะแชตมา สั่งซื้อและนัดหมายส่งไก่ให้ลูกค้า
ไก่เบตง สัญลักษณ์ใต้สุดแดนสยาม หลายท่านคงรู้จักไก่เบตงในเรื่องของรสชาติ ความอร่อย จุดเด่นของไก่สายพันธุ์นี้คือ เนื้อนุ่ม หนังกรอบ ไม่มีมันผสม กินแล้วอาจทำให้ลืมไก่เนื้อสายพันธุ์อื่นได้ และนอกจากความอร่อยแล้ว ไก่เบตงยังติดอันดับไก่เนื้อที่มีราคาแพงที่สุดในประเทศไทย คิดราคาแบบปรุงสำเร็จแล้ว ตกตัวละ 1,200 บาท แต่อย่าเพิ่งตกใจกับราคา ขอบอกเลยว่าไก่เบตงคุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอน เพราะกว่าจะเป็นเนื้อไก่ที่อร่อยขนาดนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงเขาต้องใช้เวลาเลี้ยงถึง 6 เดือน เทียบกับไก่ทั่วไปแล้วใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงนานกว่ากันถึงเท่าตัว จึงไม่แปลกที่ไก่เบตงจะมีรสชาติอร่อย และกำลังเป็นของหายากในขณะนี้ คุณธนันท์รัฐ อุดมธันยรัตน์ หรือ โกช้าง อยู่บ้านเลขที่ 54 ถนนรัตนเสถียร ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เกษตรกรมืออาชีพชื่อเสียงโด่งดังในวงการคนเลี้ยงไก่เบตง เล่าว่า ไก่เบตง เข้ามาในประเทศไทยโดยชาวจีนอพยพมาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้ว แต่ค่อนข้างหาคนเลี้ยงได้ยากเต็มที สาเหตุเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เลี้ยงยาก ต้นทุนสูง ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงนานถึง 6 เดือน เลี้ยงแล้วขาดทุน อีกส่วนหนึ่งคือคนรุ่นใหม่ไม่สานต่อ เข้าไปทำงานป