อ้อย
การปลูกอ้อยโดยทั่วไปของเกษตรกรพืชไร่ ยังคงดำเนินไปตามกระบวนการและขั้นตอนการปลูก เก็บเกี่ยว และซื้อขาย หากไม่ทำการเกษตรให้ต่าง ก็ยังคงดำรงอาชีพเกษตรกรรมอยู่ได้ แต่เมื่อเกิดความคิดทำเกษตรที่แตกต่าง โอกาสที่จะพบเทคนิค กลยุทธ์ และต่อยอดการเกษตรที่ดำรงอยู่ให้ได้รับการพัฒนาก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน เช่น คุณวงศกร ชนะภัย เกษตรกรหนุ่มไฟแรง ชาวหนองม่วง จังหวัดลพบุรี ที่บ่มเพาะการเป็นเกษตรกรมาตั้งแต่เล็ก ด้วยพื้นเพเดิมของครอบครัวทำไร่อ้อย เมื่อว่างเว้นจากการเรียน คุณวงศกร ก็โดดเข้าไร่ เรียนรู้ทุกขั้นตอนและกระบวนการมาด้วยตนเอง หลังจบการศึกษาจึงเปิดกิจการเล็กๆ และทำไร่อ้อยกับครอบครัวพ่วงกันไปด้วย การทำไร่อ้อย ของครอบครัวชนะภัย ยังคงดำเนินมาลักษณะเดียวกับเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วไป กระทั่ง 5 ปีก่อน คุณวงศกร มีแนวคิดการทำไร่อ้อยอินทรีย์ เขาเริ่มศึกษาแนวทาง และเริ่มทดลองในไร่อ้อยเดิมที่มีอยู่ 60 ไร่ “ผมชอบเกษตรอินทรีย์มานานแล้ว เมื่อตัวเองทำไร่อ้อยก็อยากทำไร่อ้อยอินทรีย์บ้าง ตอนที่เริ่มทำ ก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือ ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เริ่มสะสมมาเรื่อยๆ จะคิดจะทำจริงจัง ครอบครัวก็ไม่ว่าอะไร
แจงผลศึกษางานวิจัย แนวทางพัฒนาการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการเกษตร AEC อีสานกลาง กรณีศึกษาอ้อยโรงงานของจังหวัดขอนแก่น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 เปิดกลยุทธ์ผลศึกษา ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หวังร่วมผลักดันให้ไทยเป็น Sugarcane Hub ของอาเซียน นายคมสัน จำรูญพงษ์ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการศึกษาวิจัย “ขอนแก่น: แนวทางพัฒนาการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการเกษตร AEC อีสานกลาง กรณีศึกษาอ้อยโรงงาน ในปีงบประมาณ 2559” โดยทางสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 จังหวัดขอนแก่น (สศท.4) ได้ทำการศึกษา เพื่อวิเคราะห์ถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการเกษตรของจังหวัดขอนแก่น กรณีอ้อยโรงงาน และเสนอแนะแนวทางกลยุทธ์การพัฒนาให้จังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการเกษตรของอีสานกลาง สำหรับสินค้าอ้อยโรงงาน เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การศึกษา สศท.4 ได้รวบรวมความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยโรงงาน หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โรงงานน้ำตาล สมาคมชาวไร่อ้อย และสหกรณ์ชาวไร่อ้อย รวมจำนวน 98 ราย และเสนอกลยุทธ์ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ใน
ร้อนระอุขึ้นอีกครั้งสำหรับรัฐบาล คสช.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อสมาคมผู้ผลิตอ้อยและน้ำตาลของประเทศบราซิล ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการส่งออกน้ำตาลไปขายในตลาดโลก ได้เรียกร้องให้รัฐบาลบราซิลยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 โดยกล่าวหาว่า รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการอุดหนุนการส่งออก และอุดหนุนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลภายในประเทศไทย จนส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำตาลของประเทศบราซิล และกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลภายในประเทศบราซิล จนมีการปิดโรงงานน้ำตาลไปกว่า 50 โรงงาน เพราะหาก “แพ้คดี” ขึ้นมา นั่นหมายถึงความเสียหายไม่ใช่เพียงระดับหลายหมื่นล้านบาท จากการที่จะต้องจ่ายค่าเสียหาย แต่ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติอย่างประเมินค่ามิได้ หากถูกประเทศที่จ้องเล่นงานไทยอย่างสหรัฐ และสหภาพยุโรป หาเรื่องกระทบชิ่งไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มิใช่เฉพาะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย สอน.ลุยแก้ พ.ร.บ.ตาม “ใบสั่ง” เรื่อง นี้พลเอกประยุทธ์ถึงกับสั่งการให้ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปดำเนินการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย โดยระบุว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ ณ แปลงไร่ บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) แปลงทัพพระ บ้านหนองยาง ตำบลท่าเกวียน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ได้มีการจัดงานโครงการรณรงค์สู้ภัยแล้งและการควบคุมหนอนกออ้อยโดยวิธีผสมผสาน เนื่องจากจังหวัดสระแก้วมีพื้นที่ปลูกอ้อย 385,983 ไร่ เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย 11,097 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นจำนวนเงินมากกว่า 4,000 ล้านบาท ต่อปี ในปี 2559 จังหวัดสระแก้วได้ประสบปัญหาภัยแล้งในทุกอำเภอ ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ทำให้อ้อยชะงักการเจริญเติบโต และเป็นปัจจัยใจที่ทำให้เกิดการระบาดของหนอนกออ้อย โดยพบการระบาดในพื้นที่การปลูกอ้อยจำนวนถึง 100,000 ไร่ และพบพื้นที่ระบาดรุนแรงประมาณ 10,000 ไร่ ถ้าหากไม่มีการป้องกันกำจัดและควบคุมที่ถูกวิธี จะทำให้การระบาดลุกลามเป็นบริเวณกว้างและก่อความเสียหายอย่างรุนแรงได้ในอนาคต จึงได้มีการทำงานร่วมกันในรูปแบบประชารัฐ โดยความร่วมมือระหว่างภาคราชการ ภาคเอกชน ได้แก่ ส่วนราชการจังหวัดสระแก้ว บริษัท ดูปองท์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท น้ำตาลอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) สมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา พร้อมด้วยตัวแทนเ
นายสุพจน์ หวังปรีดาเลิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและผู้จัดการโรงงาน บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่มเคทิส กล่าวว่าว่า บริษัทฯลงนามในบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับภาครัฐ และภาคเกษตรกร ในจังหวัดนครสวรรค์ สร้างเครือข่ายประชารัฐ ตามนโยบายรัฐบาล เปลี่ยนนาข้าวเป็นไร่อ้อยมีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยอีกประมาณ 10,000 ไร่ คิดเป็นผลผลิตอ้อยเข้าหีบประมาณ 1 แสนตันอ้อย โดยอ้อยทั้งหมดกลุ่มเคทิส จะรับซื้อทั้งหมด ในบันทึกข้อตกลงนี้จะขับเคลื่อนและสนับสนุนการจัดโซนนิ่งในพื้นที่อำเภอบรรพตพิสัย และอำเภอพยุหะคีรี ซึ่งมีโรงงานน้ำตาลของกลุ่มเคทิสอยู่ “เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการจัดโซนนิ่งพื้นที่เกษตรกรรมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม มีพื้นที่ปลูกข้าวที่พร้อมจะเปลี่ยนมาปลูกอ้อยในจังหวัดนครสวรรค์มากกว่า 4 ล้านไร่ ภาครัฐจะให้การสนับสนุนข้อมูล กลุ่มเคทิส ช่วยส่งเสริมให้คำแนะนำด้านการเพาะปลูกอ้อย และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแล้วเห็นผลจะช่วยรณรงค์ต่อเนื่องไปยังผู้ที่ยังลังเลในการปรับเปลี่ยน” นายสุพจน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกลุ่มเคทิสรับซื้ออ้อยจากชาวไร่อ้อยประมาณ