

Related Posts
จากปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำในปี 2561 “คุณนุ๊ก หรือ คุณปริศนา คำขอด” คนรุ่นใหม่กลับบ้านพัฒนาถิ่นบ้านเกิดช่วยเหลือชุมชนอยู่ดีกินดี โดยจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน ฮัก ณ เชียงราย รับซื้อผลผลิตและแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสับปะรด จำหน่ายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ และร้านขายของฝาก จนกลายเป็นสินค้าของดีประจำจังหวัดเชียงราย สร้างรายได้หลักล้านเข้าสู่ท้องถิ่น สับปะรดภูแล พืช GI จังหวัดเชียงราย สับปะรดภูแล เกิดมาจากการที่มีผู้นำสับปะรดพันธุ์ภูเก็ตมาปลูกในบริเวณพื้นที่บ้านนางแล ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ปลูกในพื้นที่สูง อากาศดี น้ำดี ดินดำ ไม่ชุ่มน้ำ ทำให้ผลสับปะรดภูแลเนื้อแห้งสีเหลืองทอง มีกลิ่นหอม เนื้อกรอบ เนื้อเนียน ละมุน ไม่มีเส้นใย รสหวาน ผลมีขนาดเล็กตรงกับความชอบของลูกค้า เนื้อกรอบ รสอร่อย ไม่กัดลิ้น ให้ผลผลิตตลอดปี รสชาติ เนื้อผล และขนาดของสับปะรดภูแล มีความพอดีกับความต้องการของผู้บริโภค จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ จนมีกลุ่มแอบอ้างนำสับปะรดพันธุ์อื่นไปหลอกขายสร้างความเสื่อมเสีย จึงได้มีการจดสิทธิบัตรสินค้าที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI (G
งานแสดงเทคโนโลยีการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย “GFT 2025” เตรียมยกระดับธุรกิจทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม อาทิ ธุรกิจเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ยานยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ เฟอร์นิเจอร์ เกษตร ของแต่งบ้าน ฯลฯ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มยุคใหม่ พร้อมต้อนรับผู้ประกอบการกว่า 10,000 ราย ที่กำลังมองหาซัพพลายเออร์และโอกาสต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและพันธมิตรใหม่ ๆ นางวราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ (RX TRADEX) เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาตลอดเวลา แม้ว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนาดกลางและขนาดย่อม เข้ามาเป็นผู้เล่นในอุตสาหกรรม และเข้ามาพร้อมความคิดสร้างสรรค์และดีไซน์ที่เพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า ซึ่งการที่อุตสาหกรรมนี้จะพัฒนาต่อเนื่องได้นั้น ผู้ประกอบการควรต้องมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเทรนด์ที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาของวงการได้แก่ Twin Transition หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งในมิติของความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมและมิติด้านดิจิทัล, นอก
วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.ระพีพันธ์ แดงตันกี คณบดีวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานเปิดตัวโครงการร่วมมือทดสอบการใช้เทคโนโลยีฟิล์มคลุมดินที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพในการปลูกข้าวอินทรีย์แบบยั่งยืน โดยมี Dr.Prakash Murgeppa Bhuyar ผู้ช่วยคณบดีวิทยาลัยนานาชาติ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มี คณาจารย์คณะผลิตกรรมการเกษตร วิทยาลัยนานาชาติ, ผู้อำนวยการสถาบันบริการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และนักศึกษาเข้าร่วมการทดสอบ ณ แปลงนาสาธิตคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับโครงการทดสอบในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดจากความร่วมมือในการทำวิจัยร่วมระหว่างกรมการข้าวและบริษัท Dahe Technology Development (Nanjing) Co., Ltd และสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ในโครงการ “การใช้ฟิล์มชีวภาพ Polylatic acid (PLA) คลุมดินสำหรับการผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย” ซึ่งฟิล์มชีวภาพ Polylatic acid (PLA) ผลิตจากวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร จากการทดสอบในประเทศจีน พบว่า ช่วยลดต้นทุนกำจัดวัชพืชได้กว่า 1,500 หยวนต่อ
มหานคร (Megacity) คือเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นตั้งแต่ 10 ล้านคนขึ้นไป การเติบโตของเมืองในระดับนี้มักนำมาซึ่งปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอ โดยเฉพาะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และความท้าทายในการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ การพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นแนวหน้าจะช่วยตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ให้เกิดความยั่งยืนได้ ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และหัวหน้าโครงการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นแนวหน้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อรองรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคต กล่าวว่า “ประเทศไทยมีกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นมหานครขนาดใหญ่ หรือเมกะซิตี้ นอกจากนี้ เมืองเศรษฐกิจสำคัญอย่างเชียงใหม่ เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทางภาคตะวันออกมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเมืองไปสู่การเป็นเมกะซิตี้ในอนาคต ซึ่งในการบริหารการก่อสร้างหรือพัฒนาเมกะซิตี้เหล่านี้จำเป็นต้องครอบคลุมการออกแบบและใช้วัสดุอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดคาร์บอน การพัฒนาระบบ Smart Mobility ที่มีทั้งกา
เมื่อพูดถึงผลไม้รสเปรี้ยว คนส่วนใหญ่มักนึกถึงมะนาว มะม่วง หรือมะขาม แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีอีกหนึ่งผลไม้พื้นบ้านที่รสชาติเปรี้ยวจนต้องหลับตากัด นั่นคือ “ตะคร้อ” ผลไม้ป่าหายากที่คนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้นชื่อ แต่ในอดีตเคยเป็นของโปรดของใครหลายคน โดยเฉพาะชาวบ้านในภาคเหนือและอีสาน ที่รอคอยฤดูเก็บเกี่ยวของมันเพียงปีละครั้ง ตะคร้อ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Dialium cochinchinense) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ พบมากในภาคเหนือ ภาคอีสาน และบางพื้นที่ของภาคกลาง ผลของตะคร้อมีลักษณะกลมรี ขนาดประมาณเหรียญห้าบาท เปลือกนอกแข็งและสีน้ำตาลอมดำ ข้างในเป็นเนื้อสีเหลืองหรือส้ม รสเปรี้ยวจัด บางลูกถึงกับเปรี้ยวจนฝาดลิ้น แต่กลับเป็นรสชาติที่ถูกใจคนไทยจำนวนไม่น้อย บริเวณสวนหลังบ้าน เลขที่ 45 หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ นายประเสร็จ ใจวิลัย อายุ 67 ปี เจ้าของบ้านกำลังเด็ดลูกตะคร้อใส่กะละมังเพื่อเตรียมส่งให้กับลูกค้าที่สั่งจอง โดยขายกิโลกรัมละ 35 บาท 3 กิโล 100 บาท เป็นรายได้เสริมช่วงว่าง ซึ่งต้นตะคร้อดังกล่าว นายประเสร็จได้อนุรักษ์ไว้อายุกว่า 120 ปี แม้จะมีเพื่อนบ้านมาขอซื้
หลายคนชื่นชอบการปลูกบัวประดับ แต่หลังจากซื้อบัวประดับจากร้านค้ากลับมาเลี้ยงที่บ้าน ต้นบัวประดับให้ดอกสวยงามแค่เพียงระยะแรก หลังจากเลี้ยงไปได้ 3 เดือน ดอกเริ่มเล็กลง และไม่ค่อยมีดอกแถมต้นทรุดโทรมลงอีกต่างหาก หากใครเจอปัญหาแบบนี้ ไม่ต้องกังวล “เทคโนโลยีชาวบ้าน” มีเทคนิควิธีดูแลบัวประดับอย่างถูกวิธี ที่จะช่วยให้บัวประดับของท่านมีดอกสวยงามเหมือนเดิม บัวไทยมี 3 สกุล ก่อนอื่นอยากแนะนำให้รู้จักสกุลบัวที่ปลูกอยู่ในประเทศไทยว่า มีอยู่ 3 สกุล คือ สกุลบัวหลวงหรือปทุมชาติ สกุลบัวสายหรืออุบลชาติ และ สกุลวิกตอเรียหรือบัวกระด้ง 1. สกุลบัวหลวงนิยมเรียกชื่อว่า ปทุมชาติ หรือบัวหลวง มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน จีน อินเดีย และประเทศไทย บัวเป็นพืชที่มีต้นใต้ดิน หรือเหง้า และมีไหลเมื่อวัยอ่อน มีลักษณะเรียวยาว เลื้อยไปใต้พื้นดินเล็กน้อย เมื่อโตเต็มที่จะอวบอ้วน เพราะมีการสะสมอาหารเอาไว้ ต่อมาพัฒนาเป็นข้อปล้อง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของต้นอ่อนและราก เมื่อเติบโตขึ้นจะยืดตัวส่งใบและดอกโผล่ขึ้นเหนือน้ำ ก้านใบและก้านดอกมีหนาม ดอกเป็นชนิดดอกเดี่ยว รูปทรงมีทั้งป้อมและแหลม ดอกจะบานในเวลากลางวัน กลิ่นหอมมีกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ กลีบด้