โดยทั่วไป ต้นมะม่วงที่ปลูกในพื้นที่ภาคกลาง มักติดดอกออกผลในช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ส่วนมะม่วงที่ปลูกในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักติดดอกในช่วงเดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ (ยกเว้นพวกมะม่วงทะวาย) เก็บเกี่ยวเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน บ่อยครั้งที่ต้นมะม่วงแทงช่อดอกและออกดอกพร้อมๆกัน ทำให้ผลผลิตจำนวนมากออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ประสบปัญหามะม่วงล้นตลาด และราคาผลผลิตตกต่ำ
โดยเฉพาะในปีนี้ หากใครได้มีโอกาสเดินสำรวจตลาดค้าส่ง อย่างเช่น ตลาดไท จะพบว่า มะม่วงราคาขายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ก.ก.ละ 5 บาท ขณะที่บางแผงมะม่วงสุก ราคาถูกมากๆ ลูกค้าสามารถซื้อมะม่วงสุกน้ำหนัก 20 ก.ก. ในราคาตะกร้า 20 บาท เฉลี่ยราคา กก.ละ 1 บาทเท่านั้น


เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการตลาด เกษตรกรควรหันมาผลิตมะม่วงนอกฤดู เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคา และลองหาวิธีเพิ่มมูลค่าให้กับมะม่วง และสร้างตลาดใหม่ เช่น ขายในรูปแบบ มะม่วงน้ำปลาหวาน เจลลี่มะม่วง น้ำมะม่วง หรือ ทำข้าวหมากมะม่วง probiotic ซึ่งขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แถมดีต่อสุขภาพ เพิ่มโอกาสการขายในกลุ่มคนรักสุขภาพได้อีกทางหนึ่ง
“น้ำมะม่วงดิบ” เครื่องดื่มแสนอร่อย
ดีต่อสุขภาพ กินแล้วสดชื่นคลายร้อน
ชวนคนรักสุขภาพมาทำน้ำมะม่วงดื่มป้องกันโรคลมแดดกัน สาเหตุที่เลือกใช้มะม่วงดิบเพราะมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าผลสุก แนะนำให้เลือกใช้มะม่วงดิบแก่จัด เนื้อออกเหลืองๆ ปะปนบ้างเพื่อความสวยงามของสีน้ำมะม่วง เลือกมะม่วงพันธุ์อะไรก็ได้ตามใจชอบ

ขั้นตอนการทำง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เริ่มจากนำผลมะม่วงมาล้างทำความสะอาด ปอกเปลือกมะม่วงออกนำมาล้างน้ำสะอาดอีกรอบ จากนั้นฝานและหั่นเป็นลูกเต๋า ก่อนนำไปปั่นให้ละเอียด หรือ หากมีเครื่องคั้นน้ำผลไม้แบบแยกกากก็จะทำให้สะดวกยิ่งขึ้น
การนำเนื้อมะม่วงมาปั่นให้ละเอียด มีเทคนิคการปั่นครั้งแรกคือ ต้องปั่นให้ละเอียดเป็นน้ำก่อน แล้วค่อยๆเติม เนื้อมะม่วง ตามลงไป ค่อยๆปั่นทีละนิดเมื่อได้ปริมาณที่มากเทน้ำออกส่วนหนึ่งให้เหลือน้ำไว้ส่วนหนึ่งแล้ว เติมเนื้อมะม่วง ดิบลงไปอีกหากไม่มีน้ำมะม่วงอยู่จะปั่นยากมากค่อยๆทำไปจนปั่นเสร็จ


เมื่อได้น้ำมะม่วงที่ปั่นละเอียดเรียบร้อยแล้ว ค่อยนำไปกรอง ด้วยผ้าขาวบางเพื่อแยกเอากากออก ขั้นตอนนี้อาจจะต้องทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องมือและผ้ากรอง ด้วยการลวกน้ำร้อน เพื่อฆ่าเชื้อปนเปื้อนออกไปให้ได้มากที่สุด น้ำมะม่วง จะเก็บอยู่ได้หลายวัน เมื่อทำการ กรองแยกเอากากออกแล้วน้ำมะม่วงที่ได้ ก็กรอกน้ำมะม่วงใส่ขวดแช่เย็นทิ้งไว้สามารถเก็บอยู่ได้หลายวัน
วิธีนำมารับประทานสามารถดื่มสดๆได้เลย (เขย่าขวดก่อนดื่ม)หรือนำไป ปรุงแต่งอย่างอื่นโดยอาจจะใส่ โซดาลงไปหรือเติมผสมกับน้ำผลไม้อย่างอื่นก็ได้ใช้รับประทานได้ตลอด โดยเฉพาะเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว สามารถป้องกันโรคลมแดดได้


วิธีทำข้าวหมากผสมมะม่วงสุก
“ข้าวหมากผสมมะม่วงสุก” เป็นการประยุกต์ให้ผลไม้เข้าไปอยู่ในกระบวนการหมักตั้งแต่ต้นเลย จะได้กลิ่นหอมหวานของมะม่วงผสมกับกลิ่นข้าวหมากนุ่ม ๆ เหมาะกับคนที่ชอบของหวานหมักแบบโฮมเมด เคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้คือ ควรเลือกมะม่วงที่ไม่สุกเละจนเกินไป เพราะจะทำให้ข้าวหมากเน่าเสียเร็ว อย่าเปิดดูบ่อยในช่วง 1-2 วันแรก ให้หมักอย่างต่อเนื่อง หากสภาพอากาศร้อน ใช้เวลาหมักแค่ 1 วันครึ่งก็หอมแล้ว
การเตรียมวัตถุดิบ (ทำได้ 3-4 ห่อ)
อุปกรณ์ที่ต้องใช้ได้แก่ ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม ลูกแป้งข้าวหมาก 3 ลูก (บดละเอียด) มะม่วงสุกหั่นเต๋า 1-2 ลูก (ควรใช้พันธุ์ที่ไม่เละมาก เช่น น้ำดอกไม้) ภาชนะ เช่น กล่องพลาสติก / หม้อเคลือบ ใบตอง หรือพลาสติกแรป (สำหรับห่อ) ต้องสะอาดและแห้งสนิท ไม่มีน้ำมัน หรือกลิ่นรบกวน
ขั้นตอนการทำ
1. เตรียมข้าวเหนียว: เริ่มจากนึ่งข้าวเหนียวให้สุกดี แล้วปล่อยให้เย็นจนไม่ร้อน (อุ่น ๆ ได้) จากนั้น แผ่ข้าวเหนียวให้ระบายความร้อน อย่าให้มีไอน้ำขัง
2. ผสมแป้งหมัก: นำลูกแป้งบดละเอียด โรยให้ทั่วข้าวเหนียว คลุกให้ทั่วทุกเม็ด ระวังอย่าให้ข้าวเละ
3. ใส่มะม่วง: ใส่เนื้อมะม่วงสุกหั่นเต๋าลงไป คลุกเบา ๆ ให้กระจายตัว จะคลุกลงไปในข้าวหรือวางแทรกเป็นชั้น ๆ ก็ได้
4. หมัก: แบ่งใส่ห่อหรือกล่อง ปิดฝาหรือห่อแน่น หมักที่อุณหภูมิห้อง (ประมาณ 28-32°C) 2-3 วัน ชิมได้เมื่อเริ่มมีกลิ่นหอมหวาน และมีน้ำหวานไหลออกมาเล็กน้อย
อีกหนึ่งเคล็ดลับการทำข้าวหมากมะม่วงที่น่าสนใจ ของอาจารย์อรทัย เอื้อตระกูล อดีตนักวิชาการอาวุโส กรมวิชาการเกษตร ที่ใช้เทคนิคการทำ ข้าวหมากมะม่วง probiotic แบบง่าย ๆ โดยซื้อข้าวหมากที่มีขายในท้องตลาด และซื้อมะม่วงอกร่อง จำนวน 2 กก จากนั้นนำข้าวหมาก 6 ห่อมาปั่นรวม กับเนื้อมะม่วง จะได้รสชาติอร่อยดี แต่อาจหวานมากไปหน่อย หมักทิ้งไว้สัก 1 – 2 คืน จะมีปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ระดับความหวานลดลง กลายเป็น probiotic แบบมีแอลกอฮอล์ วิธีนี้ทำไม่ยาก ต้องลองทำดู


มะม่วงมีคุณประโยชน์มากมาย
มะม่วง มีแร่ธาตุและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล โซเดียมต่ำ มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม สังกะสี เควอซิทิน มีสารประกอบฟีนอล และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก และ แอสตรากาลิน ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ไฟเบอร์ในมะม่วง ช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย บำรุงสายตา มะม่วงมีวิตามินเอสูง มีวิตามินเอ บำรุงผิวพรรณ ส่วนวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงสมอง ขณะเดียวกัน มะม่วงมีสารเบต้าแคโรทีน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้อีกด้วย
.
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบข่าวจาก
facebook : Jirapat Dum
facebook : อรทัย เอื้อตระกูล
facebook : Two Tone Tea Flower Tea ชาเขียว ชาเก๊กฮวย ชามะลิ ชากุหลาบ ชาลาเวนเดอร์